ด้านคณะกรรมาธิการฯ ฝ่ายค้านแสดงความกังวลว่า ตัวเลขอาจคลาดเคลื่อนจากตัวเลขความเป็นจริง โดยเฉพาะค่าที่ดิน และค่าก่อสร้าง เพราะดำเนินการแล้วอาจมีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดของโครงการได้ นอกจากนี้ การปรับลดต่างๆ ก็ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน พร้อมทั้งได้ตั้งข้อสังเกตว่างบประมาณที่ปรับลด 11,790 ล้านบาท แต่ถูกนำมารวมกับวงเงินคงเหลือจากร่าง พ.ร.บ.เดิมคือ 9,261 ล้านบาทนั้น เป็นงบที่ไม่มีการชี้แจงรายละเอียดการใช้เงินอย่างชัดเจน ซึ่งอาจเปิดช่องให้มีการทุจริตได้
นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส. กทม พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกรรมาธิการ กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องคงเงินจำนวน 21,051 ล้านบาท ไว้ในแผน ข. หรือเผื่อเหลือเผื่อขาดเพราะอายุของ พ.ร.บ.กู้เงินดังกล่าวมีอายุถึง 7 ปี หากมีความจำเป็นก็สามารถไปกำหนดเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ แต่กรรมาธิการเสียงข้างมากบางคนเห็นว่าประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนซึ่งอาจจะทำให้ค่าใช้จ่ายและต้นทุนสูงขึ้นจึงเห็นด้วยที่จะคงงบที่จะปรับลดไว้ในแผน ข. นายอรรถวิชช์จึงเสนอให้มีการลงมติ ตัดสิน แม้นายวราเทพ และนายชัย ชิดชอบ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทยจะขอร้องไม่ให้มีการลงมติเพื่อเป็นไปตามประเพณีการประชุมกรรมาธิการที่ไม่นิยมลงมติโดยให้ไปแปรญัตติแล้วไปอภิปรายในสภาแทน แต่นายอรรถวิชช์ยังยืนยันให้ลงมติ โดยผลการลงมติปรากฎว่าเสียงส่วนใหญ่ 16 ต่อ 8 เสียง เห็นด้วยให้คงวงเงิน 21,051 ล้านบาทไว้ในวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาด
"การตัดลดงบประมาณลง 11,790 ล้านบาท แต่กลับไปเพิ่มในในแผน ข. ซึ่งเป็นงบเผื่อเหลือเผื่อขาด เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เพราะเท่ากับเป็นการตีเช็คเปล่า ไม่สามารถตรวจสอบได้ เพราะไม่ได้ระบุรายละเอียดไว้ และอาจมีการนำไปใช้ไม่ถูกทางและทุจริต ซึ่งจะทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ทั้งนี้เห็นว่ากรรมาธิการฯ ควรปรับลดงบประมาณลงอีก โดยเฉพาะค่าจ้างที่ปรึกษา ค่าเวนคืนที่ดิน และค่าก่อสร้าง"นายอรรถวิชญ์ กล่าว