อย่างไรก็ดี ขณะนี้คงไม่สามารถตอบได้ว่าเวทีนี้จะสามารถสร้างความปรองดองได้หรือไม่ แต่เชื่อว่าเป็นแนวคิดที่ดีที่สุดที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ส่วนการเชิญผู้มีชื่อเสียงจากต่างประเทศเข้าร่วมเวทีฯ ด้วยนั้น ถือเป็นความพยายามที่น่ายินดีในการรับฟังเสียงสะท้อนการเมืองไทยจากนานาชาติ พร้อมกันนี้ยังมั่นใจว่าเวทีสภาปฏิรูปการเมืองฯ จะไม่กลายเป็นชนวนความขัดแย้ง และไม่นำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับเพื่อล้างความผิดตามที่มีกระแสวิจารณ์มาก่อนหน้านี้
ส่วนสาเหตุที่เข้าร่วมเป็นกรรมาธิการร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนั้น พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เป็นเพราะกฎหมายดังกล่าวมีแนวทางเดียวกันกับเนื้อหาร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่ตนเองเคยเป็นประธานกรรมาธิการ
ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานคณะกรรมการพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงกรณีที่นายโคฟี่ อันนัน อดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ(UN) ปฏิเสธไม่ร่วมการเวทีสภาปฏิรูปการเมืองว่า รัฐบาลคงเสียหน้าเพราะไปโฆษณาไว้มาก ซึ่งความจริงแล้วที่ผ่านมานายโคฟี่ เคยออกมาระบุว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาคือต้องฟังความเห็นของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ(คอป.) เพราะรัฐบาลชุดที่แล้วได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาแล้ว ซึ่งคอป.เสนอว่าไม่ควรเร่งรัดออกกฏหมายนิรโทษกรรม แต่รัฐบาลชุดนี้ไม่ปฏิบัติ หนำซ้ำยังเร่งเดินหน้าผลักดันกฏหมายฉบับนี้
"การตั้งสภาปฏิรูปการเมือง จึงเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่นำไปสู่เป้าหมายของรัฐบาลอย่างมีวาระซ่อนเร้น กล่าวคือ นำไปสู่การล้างผิดและกินรวบประเทศไทย ซึ่งไม่ใช่คำพูดที่ซ้ำซาก แต่เป็นเป้าหมายซ้ำซากที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง" ประธานวิปฝ่ายค้านกล่าว
พร้อมระบุว่า ฝ่ายค้านจำเป็นต้องบอกแก่สังคมว่า สุดท้ายการปฏิรูปนี้ก็เพื่อการแก้รัฐธรรมนูญใหม่หรือแก้ทั้งฉบับ ที่จะไม่มีมาตรา309 เป็นก้างขวางคอ ซึ่งรัฐธรรมนูญใหม่ที่ได้จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงองค์กรอิสระ ระบบศาลต่างๆ สุดท้ายสภานี้จะกลายเป็นสภาฝ่ายเดียว ข้างเดียว ดังนั้นการปฏิรูปควรเริ่มจากการปฏิรูปพฤติกรรมมากกว่า