ทั้งนี้ มองว่าการแก้ไขที่มาส.ว.อาจกระทบต่อโครงสร้างของประเทศ โดยมีเป้าหมายกินรวบประเทศไทย หรือ ผูกขาดประเทศไทยไว้ในกำมือของผู้มีอำนาจมีเสียงข้างมากในสภา ซึ่งตนคิดว่าเป็นการวางแผนมาตั้งแต่ต้น เพราะร่างแก้ไขที่มาส.ว. มีส.ส.พรรคเพื่อไทยร่วมเซ็นชื่อกับ ส.ว.บางส่วนเกือบทั้งพรรค เพื่อให้เห็นว่าเป็นเรื่องของสมาชิกรัฐสภา แสดงให้เห็นว่าเริ่มต้นก็มีการอำพรางแล้ว เป็นการวางแผนแบบผลัดกันเกาหลัง เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน เพราะทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งหวังเอื้อประโยชน์กันและกันในรัฐสภา
นายองอาจ กล่าวว่า หากดูเนื้อหาให้ที่มาจากการเลือกตั้งก็จะเห็นว่าเป็นรูปแบบที่เลวร้ายกว่ารัฐธรรมนูญปี 40 ที่เคยถูกตั้งฉายาว่า"สภาทาส"และหากผ่านแล้วก็จะหนักกว่า "สภาทาส" โดยจะเป็น วุฒิสภา"เผด็จการทาส"เพราะการแก้ไขในลักษณะนี้จะทำให้วุฒิสภามีอำนาจทั้งการแต่งตั้ง ถอดถอนองค์กรอิสระ ถ้าเสียงข้างมากในวุฒิสภาใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจและสภาผู้แทนราษฎรก็จะฮั้วกัน เพื่อแต่งตั้งองค์กรอิสระเพื่อประโยชน์ของผู้มีอำนาจ ทำให้องค์กรอิสระที่ควรทำงานด้วยความเป็นกลางจะไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ตามวัตถุประสงค์
นอกจากนี้ ยังให้อำนาจในการถอดถอนด้วย หากโครงสร้างเป็นเช่นนี้จะเป็นการผูกขาดประเทศไทยอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดซึ่งเป็นอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ มีส.ส.กว่า 100 คนแปรญัตติในเรื่องนี้ รวมถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ที่พยายามดำรงรักษาความเป็นกลางของสมาชิกวุฒิสภาไว้ให้ได้มากที่สุด จึงอยากให้เสียงข้างมากรับฟังเสียงข้างน้อยอย่างของฝ่ายค้าน เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ อย่าใช้เสียงข้างมากลากไปสู่เป้าหมายอันเลวร้าย
นายองอาจ กล่าวว่า การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เหมือนกับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมและร่างพ.ร.บ.งบประมาณ และคงไม่ได้เห็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯเข้าร่วมประชุมเพราะนายกฯเดินทางไปต่างประเทศ ทั้งที่เมื่อดูภารกิจงานแล้วสามารถที่จะส่งรองนายกฯไปปฏิบัติราชการแทนได้ จึงขอตำหนินายกฯว่าไม่ควรละเลยการทำหน้าที่ในสภา