ผู้อำนวยการกรุงเทพโพลล์ กล่าวว่า เศรษฐกิจถดถอยกับวิกฤตเศรษฐกิจเป็นคนละเรื่องกัน แต่ถ้าหากเศรษฐกิจถดถอยกินเวลานานเราอาจมองเป็นวิกฤตเศรษฐกิจก็ว่าได้ การถดถอยทางเศรษฐกิจ(Recession) หรือเรียกภาษาชาวบ้านว่าเศรษฐกิจขาลง ส่วนด้านตรงข้ามของเศรษฐกิจช่วงนี้คือ เศรษฐกิจขยายตัว(Recovery) หรือเรียกว่าเศรษฐกิจขาขึ้น ซึ่งภาวะเศรษฐกิจทั้งสองด้านนี้นักเศรษฐศาสตร์เรียกรวมว่าวัฎจักรเศรษฐกิจ(Economic Cycle)
ซึ่งจากผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 32 แห่ง จำนวน 62 คน ที่กรุงเทพโพลล์สำรวจเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาถึงสถานะเศรษฐกิจในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า ส่วนใหญ่ร้อยละ 63 เห็นว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงถดถอย รองลงมาร้อยละ 13 เห็นว่าอยู่ในช่วงขยายตัว ร้อยละ 8 เห็นว่าอยู่ในช่วงรุ่งเรือง(Peak) และร้อยละ 3 เห็นว่าอยู่ในช่วงตกต่ำ(Trough) ส่วนร้อยละ 13 ไม่ขอออกความเห็น
ขณะที่ข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) มีข้อมูล 2 ส่วนประกอบกันไป คือ อัตราการขยายตัวจีดีพีที่แท้จริง(real term) กับอัตราการขยายตัวของจีดีพีที่ปรับเอาปัจจัยฤดูกาลออก(การขยายตัวเศรษฐกิจในแต่ละปีส่วนหนึ่งจะขึ้นลงตามฤดูกาลยกตัวอย่าง เช่น การส่งออกข้าวในแต่ละเดือนจะมีจำนวนที่แตกต่างกันคือช่วงหลักฤดูเก็บเกี่ยวก็จะมีการส่งออกข้าวมากแต่ช่วงที่กำลังเพาะปลูกก็จะมีการส่งออกข้าวน้อย ดังนั้นจึงใช้วิธีการทางสถิติปรับเอาปัจจัยฤดูกาลออก)
ทั้งนี้นับจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี พ.ศ.2552 ที่ทำให้จีดีพีในปีนั้นติดลบ 3 ไตรมาสรวด แต่หลังจากนั้นเศรษฐกิจไทยก็มีการขยายตัวมาตลอดและมาติดลบอีกครั้งในไตรมาส 4 ปี พ.ศ.2554 ที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ แต่เศรษฐกิจก็ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นแม้กระทั่งไตรมาสล่าสุดก็ยังคงขยายตัวร้อยละ 2.8 ขณะที่จีดีพีปรับฤดูกาลโดยปกติในแต่ละปีจะมีการขยายตัวติดลบแค่ 1 ไตรมาส(ยกเว้นปีที่ถูกน้ำท่วมใหญ่) หรือไม่มีเลย แต่ในปีนี้จีดีพีปรับฤดูกาลมีการติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาสรวดซึ่งแตกต่างจากรูปแบบของการขยายตัวในปีก่อนๆ อีกทั้งลักษณะการเติบโตของจีดีพีมีแนวโน้มลดลงนับจากปี พ.ศ.2553