ทั้งนี้จะเห็นได้จากตัวเลขการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ที่ประเมินในช่วงเดือน ส.ค.ของทุกปี พบว่าในปี 54 ที่มีอุทกภัยครั้งใหญ่ ตัวเลขการลงทุนของต่างชาติอยู่ที่ 3.22 แสนล้านบาท ซึ่งขณะนั้นรัฐบาลนี้ได้เข้ามาบริหารประเทศใหม่ๆ ก็มีความเป็นห่วงว่าในปี 55 นักลงทุนต่างชาติจะถอนการลงทุนออกไป จึงได้เดินทางไปยังประเทศอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ญี่ปุ่น เพื่อสร้างความมั่นใจ ส่งผลทำให้ตัวเลขการลงทุนพุ่งขึ้นไปถึง 6.11 แสนล้านบาท ต่อเนื่องมาถึงปี 56 ที่ตัวเลขการลงทุนเพิ่มขึ้นไปที่ 7 แสนล้านบาท แสดงให้เห็นว่านักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจในการลงทุนในประเทศไทย
นายชลิตรัตน์ กล่าวต่อถึงตัวเลขการส่งออกของประเทศไทยว่า ในปี 54 มีมูลค่าการส่งออก 2.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนปี 55 เพิ่มขึ้นมาเป็น 2.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ และในปี 56 ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมามีการปรับเพิ่มขึ้น ทั้งที่ประเทศอื่นในภูมิภาคมีอัตราการส่งออกที่ลดลง เนื่องจากผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำ
การที่มูลค่าการส่งออกของไทยเพิ่มขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งถือเป็นผลมาจากการที่นายกรัฐมนตรีได้นำภาคเอกชนไทยร่วมคณะไปเยือนต่างประเทศด้วยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งภาคเอกชนต่างสะท้อนกลับมาว่า ตัวเลขการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศที่คณะของนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปนั้น เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
"อยากจะให้คุณสุริยะใส หรือผู้ที่ออกมาวิจารณ์การไปเยือนต่างประเทศของนายกฯ ได้ศึกษาหาข้อมูลให้ดีก่อนจะออกมาพูดในแง่ลบกับรัฐบาล หรือวิจารณ์อย่างไม่เป็นธรรม หน่วยงานของรัฐมีข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ชัดเจน และในความเป็นจริง รวมทั้งเสียงสะท้อนของภาคเอกชนนั้นตรงข้ามกับที่มีผู้ออกมาบอกว่าขาดทุน เฉพาะตัวเลขการส่งออกที่เพิ่มขึ้น 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเทียบไม่ได้กับค่าใช้จ่ายในการเดินทางของคณะนายกฯ เลย" นายชลิตรัตน์กล่าว
พร้อมระบุว่า การที่ผู้ประกอบการ SMEs หรือในส่วนของสินค้าโอทอป ได้เดินทางร่วมคณะไปด้วยนั้น เป็นนโยบายการขยายตลาดของรัฐบาล ซึ่งดูได้จากตัวเลขส่งออกของผู้ประกอบการ SMEs และสินค้าโอทอป ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 56 มีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านบาท
นายชลิตรัตน์ ยังได้กล่าวถึงการที่นายสุริยะใสเตรียมตั้งสภาปฏิรูปคู่ขนานไปกับเวทีปฏิรูปของรัฐบาลว่า จากการประชุมครั้งแรกของเวทีปฏิรูปที่รัฐบาลได้จัดทำก็มีทุกภาคส่วนต่างๆ เข้าร่วมอยู่แล้ว อีกทั้งรัฐบาลก็เปิดกว้างอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมเพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปได้ และผู้ที่เข้าร่วมก็จะได้รับโอกาสในการแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ หากผู้ใดหรือกลุ่มใดอยากจะแสดงความเห็นอย่างไรก็ขอให้เข้ามาพูดในเวทีนี้ ไม่มีความจำเป็นที่จะไปตั้งเวทีหรือสภาปฏิรูปอีกชุดหนึ่ง หากเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกันก็ขอให้เข้าร่วมเวทีปฏิรูปการเมืองของรัฐบาลจะดีกว่า