ทั้งนี้ โครงการเหล่านี้ไม่ได้คิดขึ้นมาลอยๆ แต่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 11(พ.ศ.2555-2559) หัวข้อ 5.3.4 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ ในการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ การพัฒนาระบบขนส่งทางรถไฟ การปรับปรุงโครงข่ายคมนาคมขนส่งในเมือง และเป็นไปตามคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้แถลงต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ทั้งในส่วนของโครงการรถไฟทางคู่ โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการรถไฟฟ้าใน กทม.และปริมณฑล โครงการท่าเรือฝั่งทะเลอันดามันและฝั่งอ่าวไทย การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ
"การเสนอโครงการต่างๆ ใน พ.ร.บ.นี้ เป็นการปฏิบัติตามนโยบายโครงสร้างพื้นฐานที่ได้แถลงเป็นพันธสัญญากับรัฐสภาอย่างครบถ้วน" นายชัชชาติ กล่าว
สำหรับในส่วนของกระทรวงคมนาคมมีโครงการต่างๆ ในแต่ละยุทธศาสตร์ที่ได้ไว้ ดังนี้
1.รถไฟความเร็วสูง 783,553 ล้านบาท คิดเป็น 39.2%
2.รถไฟฟ้า 456,662 ล้านบาท คิดเป็น 22.8%
3.ถนนทางหลวง 241,080 ล้านบาท คิดเป็น 12.1%
4.ถนนทางหลวงชนบท 34,309 ล้านบาท คิดเป็น 1.7%
4.สถานีขนส่งสินค้า 14,093 ล้านบาท คิดเป็น 0.7%
5.ท่าเรือ 29,581 ล้านบาท คิดเป็น 1.5%
6.ด่านศุลกากร 12,545 ล้านบาท คิดเป็น 0.6%
6.ปรับปรุงระบบรถไฟ ได้แก่ เพิ่มเครื่องกั้น ซ่อมบำรุงรางที่เสียหาย 23,236 ล้านบาท คิดเป็น 1.2%
7.รถไฟทางคู่ และทางคู่เส้นทางใหม่ 383,891 ล้านบาท คิดเป็น 19.2%
8.ค่าสำรองเผื่อฉุกเฉิน ได้แก่ ความผันผวนราคาวัสดุ การติดตามและประเมินผล 21,050 ล้านบาท คิดเป็น 1.0%
"โครงการใน พ.ร.บ.สร้างอนาคตประเทศนี้ ไม่ได้มีแต่เรื่องรถไฟความเร็วสูง แต่มีทั้งรถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าใน กทม. ถนนสี่เลน ด่านศุลกากร ศูนย์กระจายสินค้า มอเตอร์เวย์ บูรณะถนนสายหลัก ถนนเชื่อมประตูการค้า ท่าเรือ สะพานข้ามทางรถไฟ โดยกระจายอยู่ในทุกๆด้าน และอยู่ในทั่วทุกภูมิภาคตามความจำเป็นและยุทธศาสตร์ของประเทศ" นายชัชชาติ กล่าว
สำหรับสิ่งที่จะได้จากโครงการนี้ที่ทางรัฐบาลคาดหวังไว้คือ
1.ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อ GDP ลดลงไม่น้อยกว่า 2% จากปัจจุบันอยู่ที่ 15.2%
2.สัดส่วนผู้เดินทางระหว่างจังหวัดโดยรถยนต์ส่วนบุคคลลดลงจาก 59% เหลือ 40%
3.ความเร็วเฉลี่ยของรถไฟขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นจาก 39 กม./ชม.เป็น 60 กม./ชม. และขบวนรถโดยสารเพิ่มขึ้นจาก 60 กม./ชม. เป็น 100 กม./ชม.
4.สัดส่วนการขนส่งสินค้าทางราง เพิ่มขึ้นจาก 2.5% เป็น 5%
5.สัดส่วนการขนส่งสินค้าทางน้ำ เพิ่มขึ้นจาก 12% เป็น 18%
6.ความสูญเสียจากน้ำมันเชื้อเพลิง ลดลงไม่น้อยกว่า 100,000 ล้านบาท/ปี
7.สัดส่วนการเดินทางโดยรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 30%
8.ปริมาณการขนส่งสินค้าผ่านเข้า-ออก ณ ด่านการค้าชายแดนที่สำคัญ เพิ่มขึ้น 5%
9.ปริมาณผู้โดยสารรถไฟ เพิ่มขึ้นจาก 45 ล้านคน/เที่ยว/ปี เป็น 75 ล้านคน/เที่ยว/ปี 10.ลดระยะเวลาการเดินทางจาก กทม. ไปยังเมืองภูมิภาค ด้วยรถไฟความเร็วสูงภายในรัศมี 300 กม. รอบกรุงเทพมหานคร ในระยะเวลาไม่เกิน 90 นาที จากเดิมที่ใช้ระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 3 ชั่วโมง