อย่างไรก็ตาม ภายหลังการประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงแล้ว หากไม่มีสถานการณ์ใด ๆ ที่น่าเป็นห่วง รัฐบาลก็อาจยกเลิก พ.ร.บ.มั่นคง ก่อนวันที่ 18 ต.ค.ก็เป็นได้
ส่วนกรณีที่รัฐบาลประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง ทั้ง ๆที่กลุ่มผู้ชุมนุมมีจำนวนไม่มากนัก เนื่องจากต้องป้องปรามไม่ให้เกิดการบุกรุกเข้ามาในสถานที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา และเขตพระราชฐาน ซึ่งรัฐบาลจะปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศ
นอกจากนี้ การปิดถนนของผู้ชุมนุม ยังส่งผลกระทบต่อการเดินทางของประชาชนทั่วไป จึงขอให้ผู้ชุมโปรดเข้าใจเหตุผลของรัฐบาลด้วย และที่สำคัญ ในวันที่ 11 ต.ค.นี้ นาย หลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน จะเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
"หากรัฐบาลไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ได้ อาจจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศไทยในสายตาประชาคมโลก ซึ่งจะส่งผลเสียหายต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ การปิดถนนของผู้ชุมนุมก็ทำให้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนได้รับความเดือดร้อน ถือเป็นการใช้เสรีภาพในการชุมนุมทางการเมือง ที่กระทบสิทธิของผู้อื่น และไม่อยู่ในกรอบของกฎหมาย และระหว่างนี้ รัฐสภากำลังจะพิจารณากฎหมายสำคัญหลายฉบับ คาดว่าอาจมีการยกระดับการชุมนุมและอาจทำให้การปิดถนนต้องยืดเยื้อเป็นเวลานาน รัฐบาลจึงจำเป็นต้องรักษาความสงบเรียบร้อยโดยเร็วที่สุด"รองโฆษกรัฐบาลกล่าว
อย่างไรก็ตาม น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้รับทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วและมีความห่วงใยในสถานการณ์ พร้อมกับมอบหมายให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ ร่วมหารือกับหน่วยงานด้านความมั่นคงต่าง ๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ โดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้เจ้าหน้าที่เคารพสิทธิของผู้ชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ และปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมให้ถูกต้องตามกฎหมายและตามหลักสากล โดยต้องดำเนินการอย่างละมุนละม่อม และใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก