2.รัฐบาลควรเปิดให้ผู้สังเกตการณ์จากภายนอก โดยเฉพาะจากภาคเอกชน และองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ในการยอมรับข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pack) ซึ่งจะเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกเข้าสังเกตการณ์ในโครงการจัดซื้อจัดจ้างขนาดใหญ่ของรัฐบาล เช่น โครงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท โดยออกเป็นมติจากคณะรัฐมนตรี
3.รัฐบาลควรแก้ไขกฎหมาย ให้การกระทำที่เกี่ยวกับทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นการกระทำความผิดที่ไม่มีอายุความ
4.ควรเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของภาครัฐออกสู่สาธารณชนมากขึ้น ให้เกิดความโปร่งใส โดยการแก้ไขกฎหมายข้อมูลข่าวสารของทางราชการ ที่ปัจจุบันใช้แล้วค่อนข้างมีปัญหามาก ประชาชนขอข้อมูลข่าวสารของรัฐบาลได้ยาก และมีการทุจริตคอร์รัปชั่นง่าย
“หากทำทั้ง 4 ข้อข้างต้นนี้ รัฐบาลจะมีโอกาสเรียกศรัทธากลับคืนมาได้ แต่หากไม่ดำเนินอะไร ปล่อยให้ความขัดแย้งต่อเนื่องไป คิดว่า ในระบอบประชาธิปไตยที่มีการเปลี่ยนผ่านก็มีอีกวิธีการหนึ่งคือ การยุบสภา ที่ทำให้เกิดการเลือกตั้งใหม่ และการแข่งขันอีกครั้ง และปรับอารมณ์ของประชาชนให้ดีขึ้น แทนที่จะใช้วิธีเผชิญหน้าเป็นทางออก" นายสมเกียรติ กล่าว
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า ไม่ช้าหรือเร็วก็จะต้องมีการเลือกตั้ง อย่างช้าที่สุดก็ 2 ปี เมื่อรัฐบาลอยู่ครบกำหนดวาระ หรือเร็วกว่านั้นก็ตาม คิดว่าทั้ง 2 ฝ่ายควรจะมานั่งคุยกัน เพื่อกำหนดกรอบที่เรียกว่า “ธรรมนูญการคลัง" เนื่องจากเป็นห่วงว่า การเลือกตั้งแต่ละครั้งในช่วงที่ผ่านมา พรรคการเมืองใหญ่ ล้วนแต่นำนโยบายที่สิ้นเปลืองงบประมาณ หรือที่เรียกว่า นโยบายประชานิยม เข้ามาเสนอเพื่อแย่งเสียงจากประชาชน ซึ่งอาจมีผลดีในระยะสั้น แต่ในระยะยาวนโยบายพวกนี้ทำให้การพัฒนาประเทศมีปัญหา และเสี่ยงต่อฐานะการคลัง รวมถึงมีโอกาสเกิดวิกฤติในอนาคตและผลักภาระไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน
“ผมเห็นด้วยที่ฝ่ายที่ชุมนุมอยู่ขณะนี้ควรทบทวนท่าที ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็ควรต้องทำอะไรบางอย่างเป็นการตอบแทน นอกจากการออกมาขอโทษ เช่น การมุ่งมั่นประกาศมาตรการต่อต้านคอร์รัปชั่นอย่างเป็นรูปธรรม และทำให้เกิดผลจับต้องได้โดยเร็วตามที่เสนอไว้ข้างต้น สำหรับข้อเสนอเรื่องการหยุดงานหรือไม่จ่ายภาษีนั้น คิดว่าคงไม่เกิดขึ้นในวงกว้าง"นายสมเกียรติกล่าว