โดยนายจตุพร ประเมินว่า อาจจะมีการใช้แนวทางในการบุกยึดตัวบุคคลที่เป็นฝ่ายรัฐบาล ตลอดจนแกนนำกลุ่มเสื้อแดง หลังจากใช้กลยุทธ์ปิดล้อมสถานที่ราชการหรือกระทรวงสำคัญต่างๆ แล้วไม่ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในซีกของรัฐบาล เพราะนายกรัฐมนตรีไม่ได้ลาออก และไม่มีการประกาศยุบสภา ดังนั้นสิ่งที่อาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้จะกลายมาอยู่ที่ตัวบุคคล โดยอาจจะมีการบีบบังคับหรือยึดตัวบุคคลเพื่อบังคับให้มีการดำเนินการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐแทน ดังนั้นจึงฝากเตือนรัฐบาลให้ระมัดระวังในจุดนี้ รวมถึงฝากไปยังศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.) ให้จับตาสถานการณ์นี้ไว้ด้วย
"ขอเตือนไปยังรัฐบาลว่า เกมนี้กำลังขยับเข้ามา เป็นการล็อคตัวและให้กระทำการหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เพราะการยึดสถานที่ก็ล้มเหลว วันนี้จะไปยึดสถานที่ใดก็ได้แค่ครอบครองตึก ปราศรัยนอนห้องแอร์กันไป คุณจะยึดห้องแอร์ที่ไหนในประเทศนี้ก็เปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐไม่ได้ เพราะฉะนั้นใน 2 วันนี้ สิ่งที่เป็นข้อสรุปคือ การยึดสถานที่ไม่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้ ดังนั้นที่น่าสงสัยต่อไป คือ การยึดตัวบุคคล เพราะฉะนั้นต้องเตือนให้แต่ละส่วนระมัดระวัง" นายจตุพร ระบุ
พร้อมมองว่า การที่นายสุเทพพยายามปิดช่องทางและปฏิเสธไม่รับแนวทางการให้นายกรัฐมนตรีลาออกหรือยุบสภา เป็นเพราะอาจจะประเมินแล้วว่า ถ้านายกรัฐมนตรีลาออก พรรคเพื่อไทยก็จะเลือกนายกฯ ยิ่งลักษณ์กลับเข้ามาอีก และถ้ายุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ พรรคเพื่อไทยก็ชนะตามเดิม ดังนั้นนายสุเทพจึงไม่เอาทั้งแนวทางลาออกและยุบสภา แต่กลับเสนอแนวทางในการตั้งสภาประชาชนเท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้วมองว่าไม่มีอำนาจใดๆ จะสามารถจัดตั้งได้เลย เพราะไม่มีบทบัญญัตินี้อยู่ในรัฐธรรมนูญ
นายจตุพรจึงตั้งข้อสังเกตจากคำพูดของนายสุเทพว่า ที่นายสุเทพอ้างคำพูดของนายกรัฐมนตรีว่าการตั้งสภาประชาชนนั้นไม่มีบัญญัติในรัฐธรรมนูญ แต่นายสุเทพกลับพูดเองว่าอีกไม่กี่วันก็จะมีอยู่ในรัฐธรรมนูญนั้น แสดงให้เห็นว่าไม่มีแนวทางใดจะสามารถกระทำได้ นอกจากจะใช้วิธีการฉีกรัฐธรรมนูญ หรือไปบีบบังคับให้สมาชิกรัฐสภาแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดช่องตั้งสภาประชาชน