(เพิ่มเติม) นายกฯส่งฝ่ายความมั่นคงชี้แจงสถานการณ์การเมือง

ข่าวการเมือง Saturday November 30, 2013 10:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

รายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชนวันนี้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)ในฐานะผู้อำนวยการ ศอ.รส. และ พลโทภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มาชี้แจงสถานการณ์การเมืองในขณะนี้

พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี สถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้ชุมนุมเข้ายึดสถานที่ราชการมี 2 จุด คือที่กระทรวงการคลังและศูนย์ราชการ บี ที่แจ้งวัฒนะ แต่ในทุกหน่วยงานและทุกกลไกในภาครัฐ ยังสามารถให้บริการประชาชนได้ตามปกติ ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง แม้บางส่วนถูกยึดไปแต่ยังมีระบบสำรองบริการประชาชนได้สมบูรณ์อยู่ แต่ที่กังวล คือ ความเชื่อมั่นในภาพลักษณ์ของประเทศของเรา ในสายตาของต่างประเทศนานาชาติก็มองประเทศไทยอยู่ การชุมนุมถึงขั้นยึดสถานที่ราชการ ในด้านความเชื่อมั่นในสายตาต่างประเทศก็มีบ้าง ช่วงนี้ปลายปีปกติต่างชาติจะเข้ามาท่องเที่ยว เป็นฤดูท่องเที่ยว ปีนี้ก็อาจจะมีผลกระทบ ตรงนี้เราเป็นห่วง เพราะท่องเที่ยวเป็นรายได้สำคัญ แต่ขอยืนยันการทำหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนยังได้ทำได้อย่างสมบูรณ์อยู่ ส่วนการทำงานของข้าราชการ ก็มีผลกระทบได้ แต่เรามีการเตรียมระบบสำรองไว้ ยังทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ถ้ามีเพิ่มขึ้น ก็ต้องยอมมรับว่าผลกระทบก็ต้องมี แต่ทางศอ.รส.ได้วางมาตรการไว้อย่างถี่ถ้วนครบถ้วนในการป้องกันไว้

ตอนนี้ผู้ชุมนุมมีการชุมนุมหลายจุด แม้จะเป็นการชุมนุมโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ แต่เพื่อความปลอดภัยของประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง ก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะดูแล ก็ขอฝากผู้ชุมนุมว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้เป็นศัตรูแต่มาเพื่อเสริมความปลอดภัยในภาพรวม ก็ขอให้เป็นไปตามกฎหมาย ตามสิทธิที่มีอยู่ ไม่อยากให้มีการละเมิดสิทธิ์ซึ่งกันและกัน ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งกัน

ทั้งนี้ รองนายกฯกล่าวว่า นายกฯกำชับว่า การปฏิบัติต่อผู้ชุมนุม ไม่ให้ใช้ความรุนแรง ไม่ให้ใช้อาวุธ เน้นเรื่องการพูดคุยกัน ที่ผ่านมาก็ยังพูดคุยกันได้ ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทำหน้าที่ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ กินเงินเดือนพี่น้องประชาชน ก็ไม่ได้มีการทำร้ายเจ้าหน้าที่

ด้านพล.ต.อ. อดุลย์ กล่าวว่า การชุมนุมนี้เป็นการชุมนุมทางการเมืองและหลายครั้งที่ผ่านมา สามารถยึดสถานที่ราชการได้หลายครั้ง พ.ร.บ.ความมั่นคงฯจึงออกมาเพื่อป้องกันเหตุ หลังออกมาเราก็วางแผนไว้เพื่อให้ปฏิบัติการได้ อันดับแรก คือ การดูแลสถานที่สำคัญที่ผ่านมาเราสามารถควบคุมได้ ประการที่สอง เราต้องควบคุมไม่ให้เกิดการยั่วยุ หรือมีมือที่สามมาก่อเหตุ เพราะการชุมนุมครั้งนี้เหตุการณ์มีโอกาสขยายผลได้ และสามมีมาตรการทางกฎหมายต่อแกนนำ หรือผู้ปลุกระดมให้ประชาชนเข้าไปในสถานที่ราชการ สี่ เรามีแผนเผชิญเหตุกรณีผู้ชุมนุมเคลื่อนที่ไปยังสถานที่ต่างๆ ในส่วนของพื้นที่ที่เข้าไปที่กระทรวงการคลังและศูนย์ราชการ เราก็มีมาตรการเป็นขั้นๆในการดำเนินการ

มาตรการทางกฎหมายเป็นเรื่องที่เราต้องระมัดระวังในการใช้เหมือนกัน ผู้ชุมนุมมาตามสิทธิได้แต่ต้องไม่ละเมิด ถ้าละเมิดกฎหมายก็จะมีการดำเนินการในภายหลัง ตอนนี้ก็มีแล้ว สามารถออกหมายจับแกนนำคุณสุเทพได้ที่เข้าไปในกระทรวงการคลัง อายุความประมาณ 10 ปี

ส่วนในการดูแลผู้ชุมนุมก็พยายามดูแลเรื่องการจราจรให้สะดวก ดูแลไม่ให้มีการก่อเหตุ หรือมือที่สาม มีการค้นอาวุธ ตั้งด่าน และที่ผ่านมาเราก็สามารถยึดทั้งมีด และอาวุธปืนได้พอสมควร เป็นปืนของการ์ดของกลุ่ม

สขณะที่พล.ท.ภราดร กล่าวยืนยันว่าม็อบเป็นม็อบการเมือง เป้าหมายก็ดึงดัน ประสงค์สู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ยุทธวิธีต่างๆก็เปลี่ยนไปเรื่อย ที่สำคัญผู้นำในการชุมนุมขาดความชอบธรรมไปเรื่อยๆ จุดยืนในการขับเคลื่อนม็อบเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ก็ต้องเร่งสื่อสารให้พี่น้องมีสมาธิกันมากขึ้น มีเหตุมีผล และเมื่อจำนวนพี่น้องที่มาไม่มากพอ เขาก็ต้องพึงประสงค์ให้เกิดความรุนแรง แต่สุดท้ายถ้าเกิดเหตุตรงนี้ไม่ได้ เขาก็ต้องเร่งให้มีพี่น้องประชาชนออกมาจำนวนมากเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง แต่ขณะเดียวกันเขาก็ต้องมองกลับมาว่า แล้วถ้าเขาทำสำเร็จ คนที่มาสนับสนุนรัฐบาล อาจจะไม่ได้สนับสนุนรัฐบาลแต่มาป้องป้องระบอบประชาธิปไตยเขาก็ต้องกลับมาทำเหมือนกันหรือไม่

เลขาสมช. ยังได้กล่าวถึง มาตรการในการดูแลว่า รัฐบาลมีมาตรการจากเบาไปหาหนัก ชี้ให้เห็นชัดเจนว่ารัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ริเริ่ม ผู้ริเริ่มคือฝ่ายที่มาชุมนุม เราก็สามารถอธิบายต่อสังคมได้ ณ ตอนนี้ นโยบายชัดเจนคือการพูดคุย การสลายคือการอธิบายให้เข้าใจกันและกัน คิดว่าผู้ชุมนุมเริ่มมีสมาธิ เริ่มมีสติ ดูจากจำนวนผู้ชุมนุมจะไม่สูงขึ้นกว่าเดิมมีแต่จะลดลง เพียงแต่เป็นช่วงเวลา แสดงว่าพี่น้องเริ่มฉุกคิด ประกอบกับจุดยืนของแกนนำเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ประชาชนเขาก็ไม่รู้ว่าตรงนั้นจะไปสู่จุดหมายปลายทางอะไร เมื่อจุดยืนแปรเปลี่ยนไป สุดท้ายก็จะไปสู่ทางตัน เพราะมันอธิบายต่อสังคมไม่ได้ เชื่อว่าประชาชนจะมีสมาธิมากขึ้น และกลับมาสู่การพูดคุยเพื่อแสวงหาทางออก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ