"สถานการณ์ในขณะนี้ ยังไม่ถึงทางตันที่จะต้องใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 7 ซึ่งกระบวนการได้นายกรัฐมนตรี รวมถึงรัฐบาลในปัจจุบัน มีความชอบธรรม" นายวราเทพ กล่าว
ส่วนการจัดเวทีเสวนาหาทางออกประเทศนั้น นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันชัดเจนแล้วว่า ต้องการให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมเสนอแนวทางต่างๆ ตามกรอบของรัฐธรรมนูญ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังพิจารณาหาคนกลางที่ทุกฝ่ายยอมรับ โดยน่าจะมีความชัดเจนภายหลังงานพระราชพิธีมหามงคล โดยรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนงบประมาณและสถานที่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีอยากเห็นกระบวนการดังกล่าวเริ่มต้นได้ทันที ซึ่งจะมีการรวมตัวของคนหลากหลายกลุ่ม
ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวถือเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประประมุข เป็นการทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศโดยวิธีการที่ไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ซึ่งไม่สามารถกระทำได้
ทั้งนี้ การพ้นจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีจะเกิดขึ้นเมื่อนายกรัฐมนตรีลาออก ซึ่งจะทำให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ มีรองนายกรัฐมนตรีรักษาการจนกว่าสภาฯ จะโหวดเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หรือหากนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาฯ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีจะรักษาการจนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าไม่มีช่องทางที่เปิดโอกาสให้มีนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 7 ได้เลย เพราะนายกรัฐมนตรีจะต้องมาจาก ส.ส.เสียงข้างมากในสภาฯ โหวตเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น
"การกระทำของนายสุเทพเป็นเพียงข้ออ้างโดยที่รู้ดีว่าทำไม่ได้ใช่หรือไม่ ส่วนกรณีที่อ้างว่าพรรคเพื่อไทยจะซื้อเสียงเพื่อให้ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งนั้นถือเป็นการไม่เคารพเสียงประชาชน กล่าวหาพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลอย่างหน้าด้านๆ ลักษณะเหมือนพวกขี้แพ้แล้วพาล ดังนั้น ขอให้นายสุเทพ เปลี่ยนความคิดสร้างเงื่อนไขเพื่อหวังจะชุมนุมต่อเนื่อง ขับไล่รัฐบาลแบบไม่ลืมหูลืมตา ที่สำคัญคือ เดือนธันวาคมนั้นเป็นเดือนมหามงคล อย่าทำตัวเป็นพวกกวนเมือง ยุติการชุมนุมได้แล้ว" นายพร้อมพงศ์ กล่าว