"การเลือกตั้งวันเดียวก็จบ แต่การปฏิรูปยังจะต้องทำต่อเนื่อง และต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ ไม่ใช่ไปทำหลังเลือกตั้ง" นายวิชัย กล่าว
พร้อมระบุว่า นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว สิ่งที่ต้องดำเนินการคือการสร้างความชัดเจนเรื่องการกำหนดประเด็นการปฏิรูปประเทศ เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยกันอย่างชัดเจนว่าจะมีการปฎิรูปในเรื่องใดบ้าง ขณะเดียวกันจะต้องหาคนที่จะเป็นเจ้าภาพในการหารือเรื่องการปฏิรูปประเทศ เพราะคงจะไม่เหมาะสมหากจะให้แกนนำของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่เป็นคู่ขัดแย้งกันนั้นขึ้นมาเป็นเจ้าภาพได้
ส่วนแนวทางของ 7 องค์กรภาคเอกชนเห็นว่าขณะนี้มีข้อมูลที่เพียงพอแล้ว หลังจากได้มีโอกาสพบปะหารือกับ กปปส., สมาคมวิชาชีพ, รัฐบาล และฝ่ายนปช. ซึ่งเชื่อว่ามีข้อมูลเพียงพอที่จะสรุปแนวทางในการดำเนินการตามความเห็นของ 7 องค์กรภาคเอกชนว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร
"ตอนนี้เราเป็นห่วงว่าสถานการณ์อาจจะตึงเครียดอีกครั้ง เมื่อใกล้วันเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นก็พยายามจะดำเนินการไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น" นายวิชัย กล่าว
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวว่า แนวทางการปฏิรูปของ กปปส.ไม่มีหลักประกันว่ารัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศในช่วงการปฏิรูป 1-2 ปีนั้นจะทำให้เกิดการปฏิรูปอย่างแท้จริง อีกทั้งมีคำถามว่า กปปส.เป็นตัวแทนที่ชอบธรรมแล้วหรือไม่ ซึ่งอาจจะมีเรื่องผลประโยชน์แอบแฝง หรืออาจพูดได้ว่าเป็นการรัฐประหาร เพราะสิ่งที่เป็นข้อเสนอของ กปปส.นั้นไม่ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
สำหรับแนวทางที่ นปช.เห็นว่าควรจะดำเนินการ คือ ทุกฝ่ายต้องจับมือกันเพื่อดำเนินการปฏิรูปประเทศควบคู่ไปกับการเลือกตั้ง โดยให้ฝ่ายการเมืองทำสัตยาบรรณร่วมกันให้ชัดเจนว่า ใครก็ตามที่ได้รับการเลือกตั้งให้เข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วจะต้องดำเนินการปฏิรูปต่อ
"เราคงต้องทำเรื่องปฏิรูปคู่ขนานกับการเลือกตั้งไป โดยไม่ใช่เป็นการทำลายเส้นทางหลัก" นายณัฐวุฒิ กล่าว
พร้อมระบุว่า หากเรามีหลักการชัดเจนว่าต้องการประชาธิปไตยก็เป็นสิ่งที่แน่ชัดว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราก็ต้องพยายามรักษาประชาธิปไตย แต่การชุมนุมที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นเหมือนการล้มล้างประชาธิปไตยและล้มล้างการเลือกตั้ง ซึ่งทำให้ทั่วโลกต่างสงสัยว่าเป็นการชุมนุมที่เรียกร้องประชาธิปไตยจริงหรือไม่ และหากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.สามารถหยุดยั้งการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.57 ได้ก็ถือเป็นการทำรัฐประหาร ซึ่งจุดนั้นเชื่อว่าจะมีประชาชนออกมาทวงอำนาจคืน
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า การชุมนุมของ กปปส.ไม่ใช่เรื่องใหม่ รูปแบบไม่แตกต่างจากเหตุการณ์หลังรัฐประหารปี 2549 ที่จะให้มีการตั้งสภาประชาชน จัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว ตั้ง ส.ส.ร. และได้มีการพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนั้นไม่ได้ทำให้เกิดการปฏิรูปแต่อย่างใด การอ้างว่ารัฐบาลกุมอำนาจอยู่จะมีผลต่อการเลือกตั้ง มีบทพิสูจน์ว่าพรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง 4 ครั้ง มีเพียงครั้งเดียวที่เป็นรัฐบาลรักษาการ
ทั้งนี้ แนวคิดของ กปปส.ไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าจะเกิดการปฏิรูปอย่างแท้จริง จะยิ่งทำให้เกิดความยุ่งยากซ้ำซ้อนขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม วิกฤติที่เกิดขึ้นจะช่วยให้ประชาชนเกิดความตื่นตัวทางการเมือง จึงเป็นโอกาสดีที่จะผลักดันให้การปฏิรูปเกิดขึ้น แต่สิ่งที่เป็นห่วงคือ หากการเลือกตั้งไม่เกิดขึ้น และเป็นแนวทางที่ กปปส.เสนอ จะยิ่งทำให้ประเทศขาดความเชื่อมั่นในสายตาของต่างชาติ
"ผมไม่เห็นด้วยกับคุณสุเทพเลย และคิดว่ามีมวลชนอีกไม่น้อยที่เห็นด้วยกับผม ถ้าคุณสุเทพล้มการเลือกตั้งก็จะนำมวลชนออกมาเรียกร้องอำนาจคืน และขอนักธุรกิจอย่ารังเกียจหากต้องนำมวลชนมาเดินตามถนนหรือสี่แยก สิ่งที่ตนหวังในการมาพบนักธุรกิจในวันนี้คือ ขอแค่ให้เห็นใจคนจนที่มีสิทธิมีเสียงเท่าเทียมกัน และที่ผ่านมาพยายามห้ามมวลชนออกมาเพราะจะทำให้เกิดการเผชิญหน้า....ผมหวังพึ่งนักธุรกิจให้ช่วยรักษาประชาธิปไตยของประเทศเอาไว้ การเลือกตั้ง ท่านจะเลือกใครก็ไม่มีใครว่า แต่อย่าล้มโอกาสของคนทั้งประเทศไม่ให้ไปเลือกตั้ง วันนี้บรรยากาศดี ผมไม่อยากคุยกับนักธุรกิจในวันที่ผมเข้ามาพร้อมกับมวลชนจำนวนมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลย"นายณัฐวุฒิ กล่าว