สำหรับเวทีกลางในการแสดงความคิดเห็นจากหลายฝ่ายนั้น คงต้องพิจารณาในลำดับต่อไปว่าหากจัดขึ้นอีกจะเกิดประโยชน์หรือไม่ ซึ่งขณะนี้ยังพอมีเวลาเหลืออีกเดือนกว่าคิดว่ายังมีเวลาคุยกันได้ในเรื่องของการเลือกตั้งที่ควรจะเป็นไปตามวิถีทาง
ส่วนการปฏิรูปประเทศนั้นคงต้องมีการดำเนินการในบางเรื่อง แต่คงไม่สามารถทำได้ครบทุกเรื่องเพราะระยะเวลาคงมีจำกัดก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง โดยเรื่องสำคัญที่ควรจะทำก่อนคือ การจัดการเลือกตั้งที่โปร่งใส
ส่วนการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.นั้น ยอมรับว่าภาคเอกชนมีความกังวลอยู่ตลอด เพราะการชุมนุมในเวลานี้ได้เริ่มส่งผลหายต่อเศรษฐกิจ และหวังว่าในอนาคตการชุมนุมจะไม่เกิดความรุนแรงและมีการเจรจากันได้
ด้านนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ยอมรับว่า การชุมนุมได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ซึ่งจากที่ประเมินไว้ว่าจีดีพีปี 57 จะโตได้ 5% นั้น หากสถานการณ์ชุมนุมเกิดความรุนแรงยื้ดเยื้ออาจจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 3% ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจ ทั้งนี้ไม่มีใครต้องการเห็นสถานการณ์รุนแรงและต้องการให้ประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว เพราะต่างประเทศให้ความสำคัญกับกฎกติกาต่างๆ ซึ่งหากไม่มีความชัดเจนก็จะส่งผลต่อการลงทุนในอนาคตได้ ดังนั้นสิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน คือการเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา
นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธาน นปช.ได้สรุปใน 3 ประเด็นสำคัญซึ่งเป็นสิ่งที่ นปช.เห็นว่าควรต้องดำเนินการ คือ 1.ยุติการกระทำใดๆ ที่จะก่อให้เกิดความเกลียดชังขึ้นระหว่างประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งเห็นได้จากการที่ กปปส.ทำอยู่นี้เป็นการปลุกระดมให้ประชาชนเกลียดชังกันเอง ซึ่งจะมีผลเสียในอนาคตและบานปลายไปจนถึงขั้นที่ประชาชนจะทำร้ายกันเอง
2.การรักษากฎกติกาให้เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ใช่อ้างแค่เสียงส่วนใหญ่ และ 3.ขอให้ทหารช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และไม่ออกมาทำรัฐประหาร
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ในฐานะแกนนำ นปช.กล่าวว่า ที่นปช.มาวันนี้ไม่ได้ต้องการเรียกร้องหรือกดดันภาคธุรกิจเกินเลยจากสิ่งที่เป็นไปได้ โดยขอให้เพียงภาคธุรกิจแสดงท่าทีในการรักษากฎกติกา เพราะหากจัดการสิ่งที่ไม่ถูกต้องด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง ผลที่ออกมาย่อมได้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นต้องใช้วิธีที่ถูกต้องเท่านั้นในการจัดการกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผลที่ออกมาจึงจะถูกต้อง