ประการที่หนึ่ง กระบวนการปฏิรูปต้องเริ่มต้นก่อนการเลือกตั้ง เพราะเมื่อได้อำนาจแล้ว รัฐบาลย่อมไม่ต้องการให้เกิดการปฏิรูป ในประเด็นนี้จึงเห็นด้วยกับข้อเสนอของ 7 องค์กรภาคเอกชน ที่ให้รัฐบาลจัดตั้งองค์กรปฏิรูปขึ้นโดยทันทีก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งอาจออกเป็นพระราชกำหนดมารองรับฐานะทางกฎหมายขององค์กรดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าจะสามารถเริ่มกระบวนการปฏิรูปได้จริงหลังเลือกตั้ง
ประการที่สอง องค์กรปฏิรูปควรเป็น “คณะกรรมการปฏิรูป" ที่มีองค์คณะไม่ใหญ่เกินไปจนกลายเป็น “สภาปฏิรูป" เช่น ควรมีกรรมการไม่เกิน 30 คน โดยประกอบด้วย ผู้ที่ฝ่ายรัฐบาลเสนอชื่อหนึ่งในสาม และผู้ที่คู่ขัดแย้งคือพรรคประชาธิปัตย์และ กปปส. เสนอชื่ออีกหนึ่งในสาม ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งในสามคือ ผู้ทรงคุณวุฒิและตัวแทนของคนอาชีพต่างๆ เช่น นักวิชาการ นักธุรกิจ ภาคประชาสังคม เกษตรกร หรือแรงงาน ซึ่งเป็น “คนกลาง" ที่ทั้งฝ่ายรัฐบาลและคู่ขัดแย้งต่างยอมรับได้ ทั้งนี้เพื่อให้คู่ขัดแย้งมีส่วนร่วม แต่ไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งครอบงำการปฏิรูป นอกจากนี้ คณะกรรมการปฏิรูปควรสร้างกลไกเปิดรับความเห็นจากสาธารณะอย่างกว้างขวางด้วย
ประการที่สาม มติของคณะกรรมการปฏิรูปในการเสนอมาตรการให้รัฐบาลดำเนินการ ต้องได้รับเสียงสนับสนุนมากกว่าเสียงข้างมากเล็กน้อยเช่น สามในห้า (18 จาก 30 เสียง) เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ข้อเสนอนั้นได้รับการยอมรับจากทั้งสองฝ่ายหรือคนกลางด้วย ไม่ได้เกิดจากการใช้พวกมากลากไป ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่สัดส่วนเสียงข้างมากที่สูงเกินไป จนทำให้การปฏิรูปไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากถูกคัดค้านได้ง่ายเกินไปเช่นกัน
ประการที่สี่ คณะกรรมการปฏิรูปควรมีภารกิจในการจัดทำข้อเสนอการปฏิรูปในขอบเขตที่ไม่กว้างขวางเกินไปเช่น ไม่ควรมีมากกว่า 4-5 เรื่องใหญ่ๆ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนและเป็นสาเหตุของความขัดแย้งในปัจจุบันเช่น กติกาการเข้าสู่อำนาจรัฐ การตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจรัฐ การต่อต้านคอรัปชั่น ประชานิยมและวินัยทางการคลัง ตลอดจนระบบยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง เป็นต้น ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าเรื่องอื่นๆ เช่น การปฏิรูปการศึกษา การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม หรือระบบยุติธรรมในความหมายกว้าง จะไม่มีความสำคัญ แต่เป็นเพราะเรื่องเหล่านั้นต้องดำเนินการต่อเนื่องในระยะยาว และควรดำเนินการโดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในสภาวะปรกติ
ประการที่ห้า คณะกรรมการปฏิรูปควรเสนอมาตรการปฏิรูปแก่รัฐบาลเป็นระยะ โดยเริ่มจากมาตรการที่มีความเห็นพ้องต้องกันสูง มีรูปธรรมที่สามารถปฏิบัติได้ง่ายก่อน โดยเสนอแนะกรอบเวลาในการดำเนินการที่แน่นอนแก่รัฐบาลไปพร้อมด้วย เพื่อให้ประชาชนเห็นผลสำเร็จจากการปฏิรูปในเร็ววัน จากนั้นจึงเสนอมาตรการปฏิรูปที่มีความซับซ้อนมากขึ้นไปตามลำดับ
ประการที่หก นอกจากนำเสนอมาตรการปฏิรูปต่อรัฐบาลแล้ว คณะกรรมการปฏิรูปควรมีหน้าที่ติดตามการปฏิรูปของรัฐบาลว่า เป็นไปตามข้อเสนอในกรอบเวลาที่กำหนดไว้หรือไม่ ในกรณีที่รัฐบาลไม่ดำเนินการปฏิรูปตามข้อเสนอ โดยแสดงถึงเจตนาหน่วงเหนี่ยวหรือบิดพริ้ว คณะกรรมการปฏิรูปสามารถเสนอให้รัฐบาล “ทำโทษตนเอง" โดยการยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีแรงจูงใจที่จะปฏิรูป มิฉะนั้น อาจต้องเผชิญแรงกดดันจากประชาชนอีกครั้ง
"ประเทศไทยควรได้รับการปฏิรูปอย่างแท้จริง โดยเร่งด่วน ภายใต้กติกาที่เป็นประชาธิปไตย ผมเห็นว่าการปฏิรูปจะเกิดขึ้นและสำเร็จได้จะต้องมีองค์ประกอบต่างๆ ดังต่อไปนี้ หนึ่ง ต้องเป็นกระบวนการที่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะคู่ขัดแย้งเข้าร่วม แต่ไม่ถูกครอบงำโดยคู่ขัดแย้ง สอง ต้องมีกลไกรับประกันว่าคู่ขัดแย้งจะยอมรับการปฏิรูป และสาม ต้องมีกลไกรับประกันว่า รัฐบาลจะนำข้อเสนอไปสู่การปฏิบัติ...ข้อเสนอต่อกระบวนการปฏิรูปข้างต้นเป็นเพียงแนวทางหนึ่งที่ผมขอฝากให้สังคมช่วยกันพิจารณา เพราะผมไม่เห็นว่า เราจะมีทางออกจากความขัดแย้งในปัจจุบันได้อย่างไร หากทุกฝ่ายทั้งรัฐบาลและคู่ขัดแย้งไม่เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปร่วมกันอย่างแท้จริง" นายสมเกียรติ กล่าว