ทั้งนี้ ในส่วนของกองทัพเองจะดูแลสภาพแวดล้อมให้เกิดความปลอดภัย เพื่อให้สถานการณ์ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น และอยากให้ทั้ง 2 ฝ่ายยุติการกระทำที่จะสร้างความขัดแย้งมากขึ้น
"ที่ผ่านมา ผมไม่ได้นิ่งนอนใจหรืออยู่เฉย แต่พูดอะไรมากไม่ได้...ทหารจะยืนหยัดในความเป็นธรรม โดยดูแลสภาพแวดล้อมให้เกิดความปลอดภัย" ผบ.ทบ.กล่าว
พร้อมระบุว่า กรณีเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับกลุ่มผู้ชุมนุมเมื่อวานนี้ คงจะต้องมีการสอบสวนและดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่ก่อเหตุรุนแรง เพราะจากเหตุการณ์ในปี 53 ก็ยังไม่มีความคืบหน้าของคดีแต่อย่างใดที่จะหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ ซึ่งเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องเร่งดำเนินการ
ผบ.ทบ. ยังเตือนไปถึงผู้ที่จะก่อเหตุรุนแรงว่าให้คำนึงถึงคนที่อยู่ข้างหลัง เพราะไม่ว่าจะเกิดผลอะไรตามมานั้น ครอบครัวตลอดจนคนที่อยู่ข้างหลังจะได้รับความเดือดร้อน โดยในส่วนของเจ้าหน้าที่เองต้องยึดหลักความอดทนเป็นสำคัญ เพราะจากภาพเมื่อวานที่ออกมาคือมีการตอบโต้กันนั้น เรื่องนี้ไม่ควรจะกระทำเพราะจะยิ่งกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่ได้เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ซึ่งเรื่องดังกล่าวคงต้องใช้เวลาสักระยะ แต่ตอนนี้ขึ้นอยู่กับว่าคู่ขัดแย้งจะสามารถหาข้อยุติร่วมกันได้อย่างไร
สำหรับความเป็นไปได้ที่จะมีการทำรัฐประหารในสถานการณ์เช่นนี้นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเวลาเป็นตัวกำหนด แต่ในจุดนี้คิดว่าการทำรัฐประหารไปก็ไม่มีใครฟัง ซึ่งทหารไม่ได้ปิดประตูหรือเปิดประตูว่าจะไม่มีรัฐประหาร ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่สิ่งที่กองทัพกำลังจะใช้อยู่คือสันติวิธี และพยายามจะวางตัวอยู่ในบทบาทที่เหมาะสม ไม่ยืนอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง ขณะเดียวกันจะไม่ทำอะไรที่เป็นการก้าวล่วงการทำงานของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งจะต้องต้องดูแลประชาชนควบคู่กันไปด้วย