นายพนัส กล่าวว่า กรณีสถานที่รับสมัครเลือกตั้งอาจจะเป็นการเปิดช่องให้ผู้ไม่เห็นด้วยมาปิดล้อมสถานที่รับสมัครนั้น หาก กกต.ยังดันทุรังให้ม็อบมาปิดล้อมก็อาจเข้าข่ายจงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่ มีเจตนาขัดขวางการเลือกตั้งได้ ซึ่งเป็นข้อห้ามตามมาตรา 20 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. อีกทั้งมาตรา137 ยังระบุด้วยว่า หาก กกต.กลางและ กกต.ท้องถิ่นจงใจฝ่าฝืนมาตรา 20 อาจจะมีโทษจำคุก 1-10 ปี และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปีอีกด้วย
ขณะที่นายสุนัย จุลพงศธร ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่นายสุเทพประกาศปิด กทม.นั้น ไม่ใช่การขัดขวางการเลือกตั้งธรรมดา แต่เป็นการขัดขวางวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งขณะนี้สร้างความตื่นกลัวแก่ประชาชนจนมีการกักตุนอาหารกันแล้ว ขอเตือนพรรคประชาธิปัตย์และ กปปส.ว่า การกระทำของพรรคประชาธิปัตย์และ กปปส.เป็นเนื้อเดียวกัน ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้เปลี่ยนใจเพราะไม่เป็นผลดีต่อประชาชน ทั้งนี้ ขอให้กำลังใจ กกต.ทั้ง 5 คนที่เพิ่งเข้ามาทำงาน ขอให้อดทน นำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ น้อมนำไปปฏิบัติ
นายสุนัย กล่าวว่า คนภาคใต้ไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมดกับการขัดขวางการเลือกตั้ง และขอตำหนิ กกต.บางจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ที่แสดงตัวชัดเจนว่าเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ จึงออกมารับลูกกัน ซึ่งถือเป็นการเปิดโปงตัวเอง