ทั้งนี้ ในส่วนการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะส่งผลให้ไทยลดความน่าเชื่อถือจากอันดับที่ 64 ในปี 47 มาอยู่ที่อันดับ 102 ในปี 56 และอันดับความโปร่งใสตกต่ำลงในทุกด้าน ทำให้ขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศลดลง
"มีการประเมินไว้กว้างๆ ว่าในแต่ละปีเกิดความสูญเสียจากปัญหาคอร์รัปชันราว 1.88% ของ GDP หรือราว 3 แสนล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาใช้สร้างโรงเรียนมัธยมได้ 5 พันแห่ง หรือรถไฟฟ้า 4 สายใน กทม." นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรค ปชป. กล่าวว่า มาตรการขจัดคอร์รัปชันมี 4 ด้าน 20 มาตรการ คือ 1.ป้องกัน ด้วยการตรากฎหมาย พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ... และต้องแก้ไขเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง รวมทั้งการจัดระเบียบโฆษณาของรัฐ ที่มีการสนับสนุนงบประมาณการโฆษณาให้สื่อ ทั้งที่สื่อควรเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน จนทำให้สื่อหลายสำนักกลายเป็นสุนัขรับใช้
2.ปราบปราม ที่ต้องดำเนินการเรื่องกฎหมายปราบปรามทุจริต การปรับปรุงกฎหมายให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล รวมทั้งการเพิ่มอำนาจ ป.ป.ช.ในการสืบสวน เพิ่มบทบาทสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) และผู้ตรวจการแผ่นดิน และการตรวจสอบภาษีย้อนหลังนักการเมือง ผู้บริหารระดับสูงหน่วยงานรัฐ
3.โปร่งใส ที่ต้องจัดให้มีข้อตกลงคุณธรรมในการจัดซื้อจัดจ้าง เพิ่มมาตรการเปิดเผยข้อมูลรัฐวิสาหกินให้เทียบเท่าหับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ พร้อมแก้กฎหมายข้อมูลข่าวสารทางราชการปี 2540
และ 4.ปลูกฝัง โดยสนับสนุนให้งานวิจัยด้านคอร์รัปชัน หลักสูตรโตไปไม่โกง จัดตั้งกองทุนสนับสนุนการต่อต้านคอร์รัปชันภาคประชาชน
"ทั้ง 20 มาตรการ 4 ด้าน เราพร้อมผลักดันเมื่อมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล และสัปดาห์หน้าจะแถลงด้านอื่นๆ อีก" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยอมรับว่า การแก้ปัญปาคอร์รัปชันไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลาพอสมควร และคงต้องใช้หรรคการเมืองเป็นตัวขับเคลื่อน ไม่เช่นนั้นการแก้ไขปัญหาก็จะล่มสลายไป
"เราพอเห็นกำลังใจจากเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่มีประชาชนส่งสัญญาณว่าไม่ยอมรับการคอร์รัปชัน เราต้องทำให้ทุกคนตระหนักถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้น ต้องทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น จะได้ช่วยเปลี่ยนความคิดจากที่เคยยอมรับว่าโกงได้" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายอภิสิทธิ์เริ่มแถลงเนื้อหาปฏิรูป ปรากฎว่ามีชายคนหนึ่งอายุประมาณ 30-35 ปีลุกขึ้นเป่านกหวีด 1 ครั้ง ทำให้ผู้ร่วมฟังแถลงข่าวคิดว่าเป็นผู้ชุมนุมกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.)ที่สนับสนุนการเปิดพิมพ์เขียวครั้งนี้จึงไม่มีใครเข้าไปห้ามปราม แต่ชายคนดังกล่าวได้ชูแผ่นกระดาษหันไปทางนายอภิสิทธิ์มีข้อความว่า “RESPECT MY VOTE“ พร้อมตะโกนว่า “ถ้าคุณยังปฏิรูปตัวเองไม่ได้แล้วจะมาปฏิรูปประเทศได้อย่างไร" ซึ่งนายอภิสิทธิ์มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย และกล่าวว่า“ขอบคุณครับ"
ชายคนดังกล่าวก็ยังคงตะโกนต่อไปว่า “ตอนคุณเป็นรัฐบาลทำไมไม่ทำ หยุดวาทกรรมการโกงได้แล้ว คุณข่มขู่คุกคามคนอื่นได้ แต่คนอื่นข่มขู่คุกคามคุณไม่ได้หรืออย่างไร" นายอภิสิทธิ์จึงตอบกลับว่า“นี่คือตัวอยางที่ต้องปฏิรูป นี่คือรูปแบบของคู่แข่งพรรคประชาธิปัตย์"ทำให้ชายคนนี้ตะโกนกลับว่า"ผมไม่ใช่คู่แข่ง ผมคือประชาชน"จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เข้ามาพาตัวชายดังกล่าวออกนอกห้องประชุม ซึ่งนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า“เห็นได้ว่าการทำกิจกรรมของเราสามารถแสดงความเห็นได้ แต่ก็ถูกรบกวนตลอด สร้างปัญหาให้เวทีเรา นี่คือเหตุผลว่าทำไมบอกว่าการเลือกตั้งเป็นธรรมไม่ได้ เพราะมีขบวนการแบบนี้และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้คือไม่ใช่การจัดฉาก"