"ทั้งสองเรื่องจึงเป็นกรณีกล่าวหาในประเด็นเดียวกัน คือการดำเนินนโยบายจำนำข้าวที่ไม่ถูกต้องก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อประเทศชาติ และไม่ระงับยับยั้ง อันอาจเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติให้รวมเรื่องทั้งสองเพื่อไต่สวนในคราวเดียวกัน โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.เป็นองค์คณะในการไต่สวนข้อเท็จจริง ซึ่งมีศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ และนายประสาท พงษ์ศิวาภัย เป็นกรรมการผู้รับผิดชอบสำนวน" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติให้ดำเนินการไต่สวน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว อันเป็นมูลความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น เพิ่มเติมจากการแจ้งข้อกล่าวหานายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และนายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ รวมทั้งผู้ดำเนินการเจรจา ผู้รับมอบอำนาจ รวมทั้งสิ้น 15 ราย กรณีทุจริตขายข้าวในสต็อกของรัฐบาลแบบรัฐต่อรัฐ(G to G)กับจีน
"คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะได้ดำเนินการไต่สวนให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ซึ่งขณะนี้นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ลงนามในคำสั่งไต่สวนเรียบร้อยแล้ว คาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์รับทราบว่าจะคัดค้านหรือไม่" นายวิชา กล่าว
สำหรับการตั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวนเต็มองค์คณะในส่วนของการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเสร็จเร็วกว่าคดีอาญาหรือไม่นั้น นายวิชา กล่าวว่า ได้รวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวไว้จำนวนมากมีพยานหลายปากที่ได้ให้ถ้อยคำถึงความผิดพลาดของนโยบายดังกล่าว ซึ่งทาง ป.ป.ช.เองก็ได้สอบในส่วนเรื่องจีทูจีอยู่แล้วด้วย
ส่วนกรอบเวลาการทำงาน ป.ป.ช. จะใช้เวลานานแค่ไหนนั้น นายวิชา กล่าวว่า จะทำตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดว่า ต้องทำโดยเร็ว แต่ในความเป็นจริงบางครั้งอาจติดปัญหา แต่เมื่อตั้งกรรมการ ป.ป.ช.เต็มองค์คณะขึ้นมาไต่สวนแล้วย่อมมีระบบที่ทำงานได้กระชับยิ่งขึ้น