(เพิ่มเติม) "หม่อมอุ๋ย"แถลงจม.เปิดผนึกเรียกร้องรัฐบาลลาออกเปิดทางคนกลางบริหารประเทศ

ข่าวการเมือง Thursday February 6, 2014 11:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง แถลงเนื้อหาในจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้รัฐบาลลาออกจากจากการรักษาการ หลังจากไม่สามารถบริหารประเทศต่อไปได้ เพื่อเปิดทางให้คนกลางที่ประชาชนยอมรับเข้ามาทำหน้าที่แทน

รายละเอียดของเนื้อหาของจดหมายเปิดผนึก ดังกล่าว ระบุว่า ประการแรก ความล่าช้าของกระทรวงการคลังในการให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ออกพันธบัตร และการที่กระทรวงพาณิชย์ไม่มีความสามารถเพียงพอในการขายข้าว มีผลทำให้ ธ.ก.ส.ขาดเงินใช้รับจำนำข้าว เป็นความล้มเหลวในการดำเนินนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่เกิดจากความบกพร่องของรัฐบาลของ ฯพณฯ เองโดยแท้

ประการที่ 2 เมื่อกลางเดือนตุลาคม รัฐบาลของ ฯพณฯ โดยกระทรวงพลังงานประกาศให้มีโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อขายให้แก่การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค คือ เชิญชวนให้เอกชนลงทุนติดตั้งโซล่าร์เซลล์บนหลังคาบ้านหรือหลังคาอาคารธุรกิจ ปรากฎว่ามีเอกชนจำนวนมากกว่า 1 พันหลังคาเรือนและบริษัทธุรกิจมากกว่า 200 แห่งตกลงเข้าร่วมโครงการ จนได้ทำสัญญาขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าเรียบร้อยแล้ว บัดนี้เอกชนได้ลงทุนติดตั้งโซล่าร์เซลล์บนหลังคาเสร็จแล้วเป็นส่วนใหญ่ และพร้อมจะเชื่อมต่อเพื่อขายไฟฟ้าเข้ากับเครือข่ายของการไฟฟ้า แต่ปรากฎว่า กรมโรงงานอุตสาหกรรมระบุว่าการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาของอาคารบ้านเรือนต่างๆ เข้าข่ายเป็นการประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมประเภทหนึ่ง ซึ่งต้องได้รับใบอนุญาตโรงงานที่เรียกว่า รง.4 เสียก่อนจึงจะผลิตไฟฟ้าเพื่อขายได้ เห็นได้ชัดว่ากระทรวงอุตสาหกรรมไม่ได้สนใจให้ความร่วมมือกับกระทรวงพลังงานเลย ทั้งๆที่อยู่ในรัฐบาลของ ฯพณฯ ด้วยกัน ความขัดแย้งดังกล่าวน่าจะแก้ไขให้หมดไปได้โดยไม่ยาก แต่รัฐบาลก็ไม่สามารถขจัดปัญหาให้หมดไปได้ เป็นความล้มเหลวอีกเรื่องหนึ่งของรัฐบาล ฯพณฯ แม้จะเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากเลย

"แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ ก็ยังทำไม่เป็น ทำไม่ได้ แล้วจะทำเรื่องที่ยากกว่านี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะในสถานะที่เป็นรัฐบาลรักษาการไม่สามารถปรับแก้ไขข้อบังคับเพื่อให้เรื่องนี้เดินต่อไปได้แล้ว"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

ประการที่ 3 เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2556 ฯพณฯ ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้แถลงว่า พร้อมที่จะออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีเพื่อให้ประชาชนเลือกตัวแทนของสาขาอาชีพต่างๆ รวมกันเป็นสภาปฏิรูปประเทศไทย ด้วยความตั้งใจที่จะสนองต่อความต้องการของกลุ่มผู้ประท้วงที่เรียกร้องให้มีสภาประชาชนเพื่อทำการปฏิรูปประเทศ แต่ปรากฎว่าองค์กรเอกชนต่างๆ ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่เชื่อว่ารัฐบาลจะสนับสนุนให้มีการปฏิรูปฯอย่างจริงจัง ต่างก็กลัวว่ารัฐบาลจะมีวาระซ่อนเร้น กลุ่มผู้ประท้วงก็ปฏิเสธความหวังดีของรัฐบาลทันที ด้วยไม่ไว้ใจว่ารัฐบาลจะทำอย่างจริงใจ เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่า ประชาชนหมู่มากและองค์กรเอกชนต่างๆไม่มีความเชื่อถือและศรัทธาในตัว ฯพณฯ และรัฐบาลของ ฯพณฯ เลย ทุกคนยังต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศ แต่มีข้อแม้ว่ากระบวนการจัดตั้งสภาปฏิรูปและการเลือกสรรตัวแทนจะต้องเริ่มจากคนกลางที่ประชาชนเชื่อถือ ซึ่งจะต้องไม่ใช่รัฐบาลของ ฯพณฯ การที่ ฯพณฯ และรัฐบาลของ ฯพณฯ ไม่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชนหมู่มากเช่นนี้เป็นผลจากการกระทำของ ฯพณฯ และรัฐบาลของ ฯพณฯเอง ที่ไม่ได้บริหารประเทศชาติอย่างดีพอ ละเลยที่จะแก้ปัญหาของประเทศชาติ รวมทั้งละเลยที่จะกำจัดและป้องกันการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่เกิดขึ้นแล้วและมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นต่อไป

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ โครงการจำนำข้าวซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่องบประมาณของประเทศชาติเป็นจำนวนสูงมาก เมื่อคณะกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้นเองสรุปผลการปิดบัญชีเสนอต่อ ฯพณฯว่า มีผลขาดทุนมากกว่าแสนล้านบาท และเมื่อผู้เชี่ยวชาญภาคเอกชนอีกหลายคนได้ช่วยให้ข้อมูลและประมาณการเพิ่มเติมจนครบถ้วนว่ายอดขาดทุนในที่สุดเมื่อขายข้าวหมดจะเพิ่มเป็นหลายแสนล้านบาท พร้อมกับชี้ให้เห็นช่องโหว่ของโครงการที่เปิดโอกาสให้มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นจำนวนสูงมากเช่นกัน

ปรากฎว่าแทนที่ ฯพณฯ และ รัฐบาลของ ฯพณฯ จะนำข้อมูลที่ได้รับไปพิจารณาและหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อให้รู้แน่ชัดในเรื่องขนาดของความเสียหายที่จะเกิดขึ้นและเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่โจษขานกันทั่วไป รัฐบาลของ ฯพณฯ กลับปลดบุคคลที่ทำหน้าที่ประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีซึ่งเป็นผู้เปิดเผยความเสียจำนวนสูงดังกล่าวออกจากภาระหน้าที่เพื่อให้เรื่องเงียบหายไป

นอกจากนี้ รัฐบาลของ ฯพณฯ ยังออกมาโต้แย้งด้วยการให้ข้อมูลบิดเบือนแก่ประชาชน ไม่ยอมทบทวนโครงการเพื่อหาวิธีใหม่เพื่อช่วยเหลือชาวนาโดยไม่เกิดความเสียหายมากเกินไปดังที่เกิดขึ้นแล้ว แต่กลับดึงดันใช้วิธีการรับจำนำแบบเดิมในฤดูกาลถัดไปโดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายทางการเงินอันใหญ่หลวงที่จะตามมา และไม่สนใจว่าโครงการดังกล่าวเปิดโอกาสให้มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงมากเพียงใด เป็นการบริหารประเทศในลักษณะที่ลุแก่อำนาจอย่างยิ่ง ไม่สนใจฟังเสียงทักท้วงของผู้ใดเลย จึงเป็นสาเหตุให้ประชาชนหมู่มากและองค์กรเอกชนที่สำคัญหมดความเชื่อถือและศรัทธาในตัว ฯพณฯ และรัฐบาลของ ฯพณฯ

การขาดความเชื่อถือและศรัทธาในรัฐบาลของ ฯพณฯ มีผลให้รัฐบาลของ ฯพณฯ ไม่สามารถบริหารประเทศให้ก้าวหน้าต่อไปได้ ดังที่ปรากฎแล้วว่าประชาชนจำนวนมากสงสัยว่าจะมีการฉ้อราษฎร์บังหลวงในทุกโครงการที่รัฐบาลของฯพณฯ ริเริ่ม เช่น โครงการบริหารจัดการน้ำ หรือ โครงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศมูลค่า 2 ล้านล้านบาท การขาดความเชื่อถือและศรัทธาในรัฐบาลของฯพณฯ นี้เองเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้โครงการต่างๆที่รองรับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจเกิดขึ้นได้ยาก ไม่ว่ารัฐบาลของ ฯพณฯจะชี้แจงอย่างไรประชาชนหมู่มากก็ยังเชื่อว่าจะมีการฉ้อราษฎร์บังหลวงในโครงการเหล่านี้

"รัฐบาลที่ไม่สามารถปฏิบัติตามนโยบายของตนเองให้ลุล่วงไปได้ เช่น นโยบายรับจำนำข้าว นโยบายผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ รัฐบาลที่ประชาชนหมู่มากและองค์กรเอกชนขาดความศรัทธา ไม่เชื่อถือว่ามีความจริงใจ และไม่ยอมร่วมมือในการริเริ่มของรัฐบาล แม้ว่าจะเป็นเรื่องสนองตอบการเรียกร้องของประชาชนหมู่มากก็ตาม รัฐบาลที่ไม่สนใจเรื่องที่กำลังเกิดความเสียหายต่อการเงินของประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง ปฏิเสธที่จะค้นหาความจริงในเรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวง และดำเนินนโยบายที่เสียหายนั้นต่อไปโดยไม่นำพาต่อความรู้สึกของประชาชน ทำให้ประชาชนหมดศรัทธา ตั้งข้อสงสัยว่าจะมีการฉ้อราษฎร์บังหลวงในทุกๆโครงการที่รัฐบาลริเริ่ม และได้ออกมาแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดด้วยการออกมาประท้วงอย่างโจ่งแจ้งว่าไม่ต้องการให้รัฐบาลบริหารประเทศอีกต่อไป ถือได้ว่าเป็นรัฐบาลที่ล้มเหลว ไม่อยู่ในสถานะที่จะบริหารประเทศชาติให้ก้าวหน้าไปได้อีกแล้ว รัฐบาลลักษณะนี้ถ้าจำเป็นต้องรักษาการเพื่อรอให้การเลือกตั้งเสร็จสมบูรณ์จนสามารถตั้งรัฐบาลใหม่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ ก็คงจะไม่มีผลเสียหายต่อประเทศชาติมากนัก แต่ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เรียบร้อยเป็นอย่างมาก" ม.ร.ว. ปรีดิยาธร ระบุ

ทั้งนี้ ผลการเลือกตั้งได้จำนวนสมาชิกผู้แทนราษฎรไม่มากพอที่จะเป็นประชุมและไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็มเข้ามาบริหารประเทศได้ จำเป็นต้องมีการเลือกตั้งเพิ่มเติมสำหรับส่วนที่ขาด จากลักษณะของการประท้วงที่ผ่านมาเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งเพิ่มเติมคงจะยืดเยื้อไปอีกนานด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ ประการแรก ประชาชนที่ออกมาประท้วงแสดงเจตนารมณ์แล้วว่าไม่ต้องการให้รัฐบาลจากพรรคการเมืองที่ฯพณฯสังกัดอยู่กลับเข้ามาบริหารประเทศอีก ย่อมจะตามขัดขวางการเลือกตั้งในลักษณะเดิมหรือในรูปแบบใหม่ไปเรื่อยๆ

ประการที่ 2 การเลือกตั้งเพิ่มเติมที่จะมีขึ้นสำหรับเขตและหน่วยเลือกตั้งที่ยังขาดอยู่ ซึ่งรวมถึง 28 เขตเลือกตั้งที่ไม่สามารถรับสมัครได้ตั้งแต่แรกนั้น ก็ยังมีความเสี่ยงสูงที่อาจถูกศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลปกครองสั่งให้การเลือกตั้งทั้งหมดเป็นโมฆะ เนื่องจากกฎหมายเลือกตั้งกำหนดให้การเลือกตั้งทุกเขตต้องกระทำพร้อมกัน เพื่อให้ผลการเลือกตั้งเป็นไปอย่างเที่ยงธรรม ยกเว้นในกรณีสุดวิสัย เช่น ในกรณีที่หน่วยเลือกตั้งถูกปิดล้อม เป็นต้น หากการเลือกตั้งถูกศาลสั่งให้เป็นโมฆะทั้งหมด ก็ต้องเริ่มกันใหม่ซึ่งจะใช้เวลานานอีกเพียงใดไม่มีผู้ใดคาดเดาได้

ในสถานการณ์ที่เหตุการณ์จะยืดเยื้อจนไม่มีกำหนดแน่ชัดเช่นนี้ หากรัฐบาลของ ฯพณฯ ซึ่งถือได้ว่าเป็นรัฐบาลที่ล้มเหลวแล้ว เลือกที่จะเป็นรัฐบาลรักษาการต่อไป การประท้วงก็น่าจะรุนแรงขึ้นเนื่องจากประชาชนจำนวนมากไม่พอใจที่จะให้ ฯพณฯ และรัฐบาลของ ฯพณฯ บริหารประเทศต่อไปอีก

สถานการณ์เช่นนี้หากปล่อยไว้นานไป รังแต่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศรุนแรงขึ้น ธุรกิจท่องเที่ยวจะซบเซาลงไปอีก การลงทุนในโครงการต่างๆ เพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจเกิดขึ้นไม่ได้เพราะประชาชนไม่ไว้ใจว่าจะไม่มีการโกงกิน ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศจะตกต่ำลงจนถึง ขั้นที่หยุดลงทุนเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงเป็นอย่างมากจนอาจไม่ขยายตัวเลย อัตราการว่างงานที่เริ่มสูงขึ้นจะเพิ่มมากขึ้นไปอีก และที่สำคัญประชาชนจะรู้สึกสิ้นหวัง จนอาจเกิดความรุนแรงขึ้นมากกว่าที่ผ่านมาแล้วได้

แต่ถ้า ฯพณฯ และรัฐบาลของฯพณฯ เห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ ตัดสินใจลาออกจากการเป็นรัฐบาลรักษาการ ซึ่งสามารถทำได้ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย เมื่อไม่สามารถบริหารประเทศให้ก้าวหน้าต่อไปได้ โดยรัฐธรรมนูญปัจจุบันมีช่องทางที่จะให้มีการแต่งตั้งคนกลางเข้ามาบริหาร บ้านเมืองต่อไปได้ ผู้ประท้วงก็จะหยุดประท้วงทันที กิจการต่างๆ ในบ้านเมืองจะดำเนินได้ตามปกติทั้งงานของราชการและธุรกิจเอกชน รัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็มจะสามารถเดินหน้าโครงการที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศ ชาติและประชาชนได้ทันที รัฐบาลใหม่ที่มีคนกลางซึ่งประชาชนยอมรับย่อมสามารถดึงดูดตัวแทนประชาชนจาก ทุกภาคส่วนให้เข้ามาร่วมกันหาทางปฏิรูปประเทศอย่างได้ผล เมื่อเหตุการณ์คืนสู่ความสงบแล้วกิจกรรมทางเศรษฐกิจทุกประเภทก็จะดำเนินได้ ตามปกติ การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจะกลับคืนมาและก้าวหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น

"ผู้บริหารประเทศที่ดี เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะต้องตัดสินใจเพื่อ ประเทศชาติ ผมหวังว่าจดหมายเปิดผนึกของผมฉบับนี้จะช่วยให้ ฯพณฯ ตัดสินใจเพื่อหยุดยั้งความเสียหายที่เกิดแก่ประเทศชาติได้เสียที"

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ