ทั้งนี้ หลังมีการยุบสภากระบวนการตามรัฐธรรมนูญแบ่งเป็นสองส่วน ในส่วนของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งเป็นไปตามมาตรา 181 คือ ต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ และในส่วนของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งถูกยุบไป เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะจัดการเลือกตั้งใหม่ตามมาตรา 235 และมาตรา 236 ของรัฐธรรมนูญ จนกว่าจะได้ ส.ส. ครบ 500 คน ตามมาตรา 93
ดังนั้น ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 127 ว่า ภายในสามสิบวันนับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก จึงเป็นเจตนารมณ์ที่จะให้กระบวนการตามรัฐธรรมนูญและประเทศเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ชักช้า และไม่ต้องการให้รัฐบาลอยู่รักษาการนานเกินไป
"การเปิดสภายิ่งช้าเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่เกิดผลดีต่อประเทศ มาตรา 127นี้ จึงเท่ากับเป็นการบังคับ กกต. ไม่ใช่บังคับรัฐบาล เพราะถ้าหากเปิดสภาไม่ได้ กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรี และการตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ก็ไม่สามารถทำได้ คณะรัฐมนตรีรักษาการก็ยังต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไป"
นายคณิน กล่าวต่อว่า การเปิดสภาช้า หรือแม้แต่กระทั่งการสั่งให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ไม่ได้มีผลอะไรกับการรักษาการของรัฐบาล พูดง่ายๆ คือ ทำร้ายรัฐบาลไม่ได้ แต่กลับจะเป็นการทำร้ายประเทศชาติและประชาชน เพราะประเทศเดินหน้าไม่ได้ และประชาชนก็ต้องทนลำบากอีกต่อไป ซึ่งเทียบได้กับคำพังเพยโบราณ ที่ว่า "ตีวัวกระทบคราด" กว่าคราดจะพัง วัวก็ตายพอดี
ดังนั้น ประชาชนจึงคาดหวังให้ กกต. ชุดนี้ ดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อให้เปิดสภาได้ตามมาตรา 127 และได้ ส.ส. ครบ 500 คน ตามมาตรา 93 ประเทศจึงจะสามารถเดินหน้าได้ และการปฏิรูปประเทศก็จะเริ่มต้นได้อย่างเป็นรูปธรรม