นายพิเชษฐ ระบุว่า เมื่อวันที่ 2 ก.พ.ได้ไปที่หน่วยเลือกตั้งเพื่อลงคะแนน แต่หน่วยเลือกตั้งปิด สาเหตุที่ไปใช้สิทธิเพื่อปฎิบัติหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ต้องการละทิ้งหน้าที่ในโอกาสสุดท้ายที่กำลังจะจบชีวิตการเมือง ไม่ได้ตั้งใจกระทำการขัดกับหัวหน้าพรรคที่ประกาศไม่ไปเลือกตั้ง และไม่แจ้งเหตุผล ต่อเจ้าหน้าที่ ซึ่งโดยส่วนตัวรักและชื่นชมหัวหน้าพรรคมาโดยตลอด ซึ่งการไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสิทธิ แต่การไปลงคะแนนเลือกตั้งเป็นหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตย ต่อไปการเมืองจะเป็นประการใดก็ตาม ขอสมาชิกอย่าไปขัดขวางการเลือกตั้งเด็ดขาด เพราะเราไม่เคยทำเช่นนี้
พร้อมทั้งขอบคุณสมาชิกหลายคนที่ได้ร่วมงานกันมาตั้งแต่เป็นหนุ่มสาว จนวันนี้หลายคนตรงหน้าเริ่มแก่เฒ่ากันแล้ว ในยามสูงอายุเราจึงซาบซึ้งถึงความรักและผูกพันต่อบุตรหลานต้องขออภัยที่ไม่สนับสนุนให้ใครไปม็อบที่กรุงเทพฯ เพราะประสบการณ์ตลอดชีวิตทราบดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
นายพิเชษฐ ระบุอีกว่า ไม่อยากเห็นภาพแม่นายวสุ สุฉันทบุตร ที่ประคองใบหน้าลูกชายคนเดียวมองหน้าด้วยความอาลัยพร้อมหยาดน้ำตาที่ไหลจับขอบแว่นดำพรางดวงตาที่แดงกร่ำ หญิงม่ายผู้อดออมส่งเสียลูกคนเดียวจนจบการศึกษาชั้นปริญญาโทจากออสเตรเลีย หวังได้พึ่งพายามแก่เฒ่าฝากผีฝากไข้ แต่นายวสุ กลับทิ้งให้แม่ต้องมาทำศพลูกชายเสียเอง นายวสุจะเป็นวีระบุรุษของใครก็ตาม แต่เป็นคนใจดำกับแม่ตนเองเกินไป ตนเองจึงไม่ไปงานศพเขา
ส่วนกรณีของภรรยานายสุทิน มีบุตรอายุเพียง5 ขวบ ดูเหมือนชื่อแก้วตา แต่วันนี้แม่ของแก้วตาต้องเป็นหญิงม่าย และแก้วตาต้องกำพร้าพ่อตั้งแต่ 5 ขวบ
นายประคอง มีลูกคนเล็กอายุเพียง 3 ขวบ ไม่รู้ว่าพ่อตายแปลว่าอะไร ดาบตำรวจผู้ตายคนหนึ่ง ลูกชายที่อุ้มอยู่ในมือแม่ พยายามโยนตัวไปหาศพพ่อที่นอนตายอยู่ พร้อมปลุกพ่อให้ตื่นกลับบ้าน น้องสาวที่เป็นแพทย์หญิงประจำ รพ. 2 แห่งใกล้ รามคำแหง แจ้งให้ทราบว่า ศพที่รามคำแหงมีสองศพ ผ่านมือเธอที่โรงพยาบาล ศูนยนเรนทรรายงานว่า จนถึงวันนี้คนบาดเจ็บเกิน 600 คนแล้ว คนเจ็บที่ผ่านสายตาเธอต้องพิการตลอดชัวิตในลักษณะต่างๆหลายสิบราย
"ผมยอมให้คนกระบี่โกรธผมที่ไม่สนับสนุนให้ใครไปเสี่ยงความตายความพิการเช่นนั้น และจนบัดนี้ใครก็อย่ามาขอสนับสนุนการเดินทางไปชุมนุมที่กรุงเทพฯจากผมเด็ดขาด บอกกล่าวไว้ก่อนจะได้ไม่ต้องมาเสียใจกัน"นายพิเชษฐ์ กล่าว