"ศรส.พิจาณาเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีลักษณะเช่นเดียวกับเรื่องที่นายถาวร เสนเนียม ฟ้องคดีต่อศาลแพ่งขอให้สั่งเพิกถอนการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ อยู่ในขณะนี้ โดยมีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเดียวกัน ศรส.จึงได้มีมติยื่นคำร้องเสนอข้อมูลดังกล่าวต่อศาลแพ่งโดยด่วนในวันนี้ โดยจะทำเป็นคำแถลงการณ์ปิดคดีก่อนที่ศาลแพ่งจะได้มีคำพิพากษาในวันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์นี้" นายธาริต กล่าว
ส่วนการขอคืนพื้นที่ส่วนราชการเพื่อให้สามารถกลับมาเปิดให้บริการประชาชนได้ตามเดิมนั้น ศรส.ร่วมกับส่วนราชการได้ทำพิธีเปิดสถานที่ราชการต่างๆ ที่ถูกกลุ่ม กปปส.ปิดให้เริ่มเปิดทำการได้ ขณะนี้สามารถเปิดได้ถึง 48 แห่งแล้ว
นายธาริต กล่าวว่า ขอให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลเรื่องยอดผู้เข้าร่วมชุมนุมของ กปปส.สูงสุดเมื่อคืนวานนี้ ช่วงเวลาประมาณ 20.00 น. ทุกเวทีรวมประมาณ 7,500 คน ซึ่งได้ลดน้อยลงเป็นลำดับอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ศรส.ได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาคถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส. และแนวร่วม กรณีร่วมกันกระทำผิดด้วยการขัดขวางการเลือกตั้งด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคใต้ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นการล่วงละเมิดสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรง ขณะนี้ มีจำนวนคดีประเภทขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศ จำนวน 160 คดี คดีประเภทเป็นเจ้าหน้าที่ กกต.จงใจละทิ้งหน้าที่ไม่จัดการเลือกตั้ง จำนวน 169 คดี รวมคดีทั้งสิ้น 329 คดี และศาลได้ออกหมายจับให้แล้วจำนวน 67 คน
นายธาริต กล่าวว่า การเข้าตรวจสอบพื้นที่การชุมนุมเพื่อติดตามจับกุมแกนนำ กปปส.ที่ศาลได้ออกหมายจับและการจับกุมผู้กระทำผิดซึ่งหน้า และการเปิดใช้พื้นที่ส่วนราชการและถนนสาธารณะว่า ศรส.ได้กำหนดพื้นที่ที่จะปฏิบัติการรวม 5 แห่ง ดังนี้ คือ บริเวณทำเนียบรัฐบาล, บริเวณศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ, บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย, กระทรวงพลังงาน และกระทรวงมหาดไทย โดยได้กำหนดอัตรากำลังเข้าปฏิบัติ หัวหน้าผู้รับผิดชอบ และยุทธวิธีซึ่งจะเป็นไปตามสถานการณ์เพื่อความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ไป โดยขอเรียนย้ำว่า การปฏิบัติการในขณะนี้ไม่ใช่การสลายการชุมนุม ไม่ใช่การกระชับพื้นที่ และไม่ใช่การขอคืนพื้นที่ แต่เป็นการปฏิบัติการเพื่อคืนความสงบสุขให้สังคม