ศรส.ประณามกองกำลังไม่ทราบฝ่ายติดอาวุธแฝงม็อบก่อเหตุรุนแรงสะพานผ่านฟ้า

ข่าวการเมือง Wednesday February 19, 2014 13:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในฐานะกรรมการศูนย์รักษาความสงบ(ศรส.) กล่าวแสดงความเสียใจต่อตำรวจและประชาชนที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์รุนแรงที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศเมื่อวานนี้ พร้อมทั้งประณามกลุ่มกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่ปะปนอยู่ในกลุ่มของผู้ชุมนุมแล้วใช้อาวุธสงครามร้ายแรง ได้แก่ ระเบิดลูกเกลี้ยง, ระเบิด M79, ปืนซุ่มยิงความเร็วสูง และปืนสั้นชนิดต่าง ๆ รวมทั้งแก๊สน้ำตา ระดมยิงเข้าใส่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ เป็นผลให้มีตำรวจและประชาชนเสียชีวิตถึง 5 ราย และบาดเจ็บรวม 58 คน จึงเป็นที่แน่ชัดว่า แกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)จงใจและยินยอมให้มีกองกำลังติดอาวุธร้ายแรงเข้าปฏิบัติการดังกล่าว
"ศรส.ขอยืนยันว่า การปฏิบัติการของตำรวจชุดควบคุมฝูงชนนั้นปราศจากอาวุธ คงมีเพียงโล่ กระบอง และปืนยิงกระสุนยางเท่านั้น โดยเฉพาะตำรวจได้ปฏิบัติการภายใต้กรอบของกฎหมายอย่างเปิดเผยต่อหน้าสื่อมวลชน และปฏิบัติการเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การเจรจา การกดดันด้วยกำลังพล และยุทธวิธีต่างๆ ซึ่งมิใช่เป็นการใช้อาวุธเข้าสลายการชุมนุมแต่อย่างใด ส่วนภาพทางสื่อมวลชนที่ปรากฏตำรวจถืออาวุธนั้น เป็นอาวุธปืนที่ใช้ยิงกระสุนยางเท่านั้น" นายธาริต กล่าว

อย่างไรก็ตาม ตำรวจจำเป็นต้องมีหน่วยสนับสนุนที่มีหน้าที่คุ้มครองป้องกันหากตำรวจชุดควบคุมฝูงชนถูกอาวุธร้ายแรงทำร้าย ซึ่งสามารถกระทำได้ตามกฎหมายเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน แต่การปฏิบัติการเมื่อเช้าวานนี้ ตำรวจหน่วยสนับสนุนก็ไม่ได้ใช้อาวุธปืนยิงแต่อย่างใด คงมีเพียงการแสดงกำลังและอาวุธเพื่อป้องปรามตามยุทธวิธีเท่านั้น

นายธาริต กล่าวว่า การที่แกนนำ กปปส.โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้พูดกล่าวหาและบิดเบือนว่า ตำรวจใช้อาวุธทำร้ายผู้ชุมนุม โดยตัดต่อภาพและพูดเท็จจึงทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ขณะที่สื่อมวลชนต่างประเทศ คือ สำนักข่าว CNN และ BBC ได้เสนอภาพและข่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า มีคนร้ายใช้ระเบิดลูกเกลี้ยง และระเบิด M79 และอาวุธปืนยิงเข้าใส่ตำรวจอยู่ตลอดเวลา

"ตำรวจไม่ได้เตรียมการตั้งรับ จึงต้องบาดเจ็บและเสียชีวิต จนในที่สุดต้องถอนกำลังออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ และครั้นเมื่อภาพข่าวได้เผยแพร่ไปจนได้ความจริงปรากฏแก่ประชาชนแล้ว นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ แกนนำ กปปส.ก็มากล่าวขอโทษแก่สื่อมวลชนว่าเป็นความบกพร่องของตนเองที่เขียนบทพูดหรือสคริปต์ให้นายสุเทพฯ พูดผิดพลาดไป ดังนั้น จึงถือได้ว่า แกนนำ กปปส.จงใจบิดเบือนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ให้ประชาชนเข้าใจผิด" นายธาริต กล่าว

นายธาริต กล่าวว่า ศรส.ยังได้รับแจ้งข้อมูลว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อวานนี้มีคนบาดเจ็บและเสียชีวิต ทางเจ้าหน้าที่ทหารได้เข้าช่วยเหลือตำรวจและประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บเพื่อนำส่งโรงพยาบาล แต่ปรากฏว่าผู้ชุมนุมบางส่วนได้ขัดขวางปิดเส้นทางมิให้รถพยาบาลและเจ้าหน้าที่ทำการลำเลียงช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้อย่างสะดวก ซึ่ง ศรส.มีความห่วงใยในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ ศรส.ได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาคถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส. และแนวร่วม กรณีร่วมกันกระทำผิดด้วยการขัดขวางการเลือกตั้งด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคใต้ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นการล่วงละเมิดสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรง

โดยขณะนี้มีจำนวนคดีประเภทขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศจำนวน 162 คดี คดีประเภทเป็นเจ้าหน้าที่ กกต.จงใจละทิ้งหน้าที่ไม่จัดการเลือกตั้งจำนวน 170 คดี รวมทั้งสิ้น 332 คดี และศาลได้อนุญาตให้ออกหมายจับแล้วจำนวน 110 คน ขณะนี้ได้ตัวมาดำเนินคดีแล้วจำนวน 35 คน

นายธาริต กล่าวว่า ศรส.ร่วมกับส่วนราชการต่างๆ ได้เห็นถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการปิดกรุงเทพมหานครของ กปปส. โดยเฉพาะสถานที่ราชการ ดังนั้นเพื่อให้สถานที่ราชการสามารถกลับมาเปิดให้บริการประชาชนได้ตามเดิม ศรส.ร่วมกับส่วนราชการจึงได้ทำพิธีเปิดสถานที่ราชการต่างๆ ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดทำการได้ ขณะนี้สามารถเปิดเพิ่มเติมได้อีก 5 แห่ง ได้แก่ กรมการกงสุล, กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด, กรมการขนส่งทางบก และการสื่อสารแห่งประเทศไทย รวมเปิดส่วนราชการได้ทั้งหมดถึง 53 แห่งแล้ว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ