"ศรส.ขอยืนยันว่า การปฏิบัติการของตำรวจชุดควบคุมฝูงชนนั้นปราศจากอาวุธ คงมีเพียงโล่ กระบอง และปืนยิงกระสุนยางเท่านั้น โดยเฉพาะตำรวจได้ปฏิบัติการภายใต้กรอบของกฎหมายอย่างเปิดเผยต่อหน้าสื่อมวลชน และปฏิบัติการเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การเจรจา การกดดันด้วยกำลังพล และยุทธวิธีต่างๆ ซึ่งมิใช่เป็นการใช้อาวุธเข้าสลายการชุมนุมแต่อย่างใด ส่วนภาพทางสื่อมวลชนที่ปรากฏตำรวจถืออาวุธนั้น เป็นอาวุธปืนที่ใช้ยิงกระสุนยางเท่านั้น" นายธาริต กล่าว
อย่างไรก็ตาม ตำรวจจำเป็นต้องมีหน่วยสนับสนุนที่มีหน้าที่คุ้มครองป้องกันหากตำรวจชุดควบคุมฝูงชนถูกอาวุธร้ายแรงทำร้าย ซึ่งสามารถกระทำได้ตามกฎหมายเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน แต่การปฏิบัติการเมื่อเช้าวานนี้ ตำรวจหน่วยสนับสนุนก็ไม่ได้ใช้อาวุธปืนยิงแต่อย่างใด คงมีเพียงการแสดงกำลังและอาวุธเพื่อป้องปรามตามยุทธวิธีเท่านั้น
นายธาริต กล่าวว่า การที่แกนนำ กปปส.โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้พูดกล่าวหาและบิดเบือนว่า ตำรวจใช้อาวุธทำร้ายผู้ชุมนุม โดยตัดต่อภาพและพูดเท็จจึงทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ขณะที่สื่อมวลชนต่างประเทศ คือ สำนักข่าว CNN และ BBC ได้เสนอภาพและข่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า มีคนร้ายใช้ระเบิดลูกเกลี้ยง และระเบิด M79 และอาวุธปืนยิงเข้าใส่ตำรวจอยู่ตลอดเวลา
"ตำรวจไม่ได้เตรียมการตั้งรับ จึงต้องบาดเจ็บและเสียชีวิต จนในที่สุดต้องถอนกำลังออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ และครั้นเมื่อภาพข่าวได้เผยแพร่ไปจนได้ความจริงปรากฏแก่ประชาชนแล้ว นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ แกนนำ กปปส.ก็มากล่าวขอโทษแก่สื่อมวลชนว่าเป็นความบกพร่องของตนเองที่เขียนบทพูดหรือสคริปต์ให้นายสุเทพฯ พูดผิดพลาดไป ดังนั้น จึงถือได้ว่า แกนนำ กปปส.จงใจบิดเบือนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ให้ประชาชนเข้าใจผิด" นายธาริต กล่าว
นายธาริต กล่าวว่า ศรส.ยังได้รับแจ้งข้อมูลว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อวานนี้มีคนบาดเจ็บและเสียชีวิต ทางเจ้าหน้าที่ทหารได้เข้าช่วยเหลือตำรวจและประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บเพื่อนำส่งโรงพยาบาล แต่ปรากฏว่าผู้ชุมนุมบางส่วนได้ขัดขวางปิดเส้นทางมิให้รถพยาบาลและเจ้าหน้าที่ทำการลำเลียงช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้อย่างสะดวก ซึ่ง ศรส.มีความห่วงใยในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ ศรส.ได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาคถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส. และแนวร่วม กรณีร่วมกันกระทำผิดด้วยการขัดขวางการเลือกตั้งด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคใต้ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นการล่วงละเมิดสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรง
โดยขณะนี้มีจำนวนคดีประเภทขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศจำนวน 162 คดี คดีประเภทเป็นเจ้าหน้าที่ กกต.จงใจละทิ้งหน้าที่ไม่จัดการเลือกตั้งจำนวน 170 คดี รวมทั้งสิ้น 332 คดี และศาลได้อนุญาตให้ออกหมายจับแล้วจำนวน 110 คน ขณะนี้ได้ตัวมาดำเนินคดีแล้วจำนวน 35 คน
นายธาริต กล่าวว่า ศรส.ร่วมกับส่วนราชการต่างๆ ได้เห็นถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการปิดกรุงเทพมหานครของ กปปส. โดยเฉพาะสถานที่ราชการ ดังนั้นเพื่อให้สถานที่ราชการสามารถกลับมาเปิดให้บริการประชาชนได้ตามเดิม ศรส.ร่วมกับส่วนราชการจึงได้ทำพิธีเปิดสถานที่ราชการต่างๆ ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดทำการได้ ขณะนี้สามารถเปิดเพิ่มเติมได้อีก 5 แห่ง ได้แก่ กรมการกงสุล, กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด, กรมการขนส่งทางบก และการสื่อสารแห่งประเทศไทย รวมเปิดส่วนราชการได้ทั้งหมดถึง 53 แห่งแล้ว