ตามนโยบายของ ศรส. ร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ ได้เห็นถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการปิดกรุงเทพมหานครของ กรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) โดยเฉพาะสถานที่ราชการ ดังนั้น เพื่อให้สถานที่ราชการสามารถกลับมาเปิดให้บริการประชาชนได้ตามเดิม ศรส. ร่วมกับส่วนราชการจึงได้ดำเนินการเปิดสถานที่ราชการต่าง ๆ ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดทำการได้ถึง 60 แห่งแล้ว แต่หลังจากที่ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษา ส่งผลให้ ศรส.ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญหลักตามกฎหมายได้ และเป็นผลให้ กปปส. ไปบุกรุก ปิดล้อมสถานที่ราชการและขับไล่ข้าราชการไม่ให้ทำงานอีก
ข้อมูลจนถึงเช้าวันนี้ กปปส. ได้กลับไปบุกรุกปิดล้อมส่วนราชการและบริษัทเอกชน รวมจำนวน 11 แห่ง นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม สื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) ได้เข้าปิดล้อมสำนักงาน ป.ป.ช. และมีกลุ่มชาวนาเข้าไปอยู่ในบริเวณกระทรวงพาณิชย์ แต่มิได้มีการปิดล้อมขับไล่ข้าราชการแต่อย่างใด
ศรส.ยืนยันว่าไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับ กปปส. กับ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกับกลุ่มใด แต่ ศรส.เป็นหน่วยงานพิเศษตามกฎหมายที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย และบังคับใช้กฎหมายเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง นำความสงบสุขกลับคืนสู่บ้านเมืองเหมือนเช่นเดิมโดยเร็ว แต่ ศรส.จะปฏิบัติหน้าที่ไม่สำเร็จลุล่วงเลยถ้าขาดการร่วมมือจากพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะความร่วมมือที่จะไม่ออกจากบ้านไปชุมนุม หรือไปยังสถานที่เสี่ยงในยามวิกาล
อนึ่ง แม้ ศรส.จะมีข้อจำกัดในการปฏิบัติหน้าที่ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งด้วยข้อห้าม 9 ข้อ ดังเป็นที่ทราบกันดีแล้วนั้น ศรส.ร่วมกับตำรวจ ทหารและพลเรือน ทุกฝ่ายก็จะพยายามปฏิบัติหน้าที่ภายใต้ข้อจำกัดอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทั้งนี้ ศรส.ขอร้องไม่ให้ทุกฝ่ายออกมาเผชิญหน้ากัน ทั้งกลุ่มสนับสนุน กปปส. กลุ่มต่อต้าน กปปส. กลุ่ม นปช. และกลุ่มอื่น ๆ ซึ่งดูจะไม่ได้ผล ศรส. จึงจำเป็นต้องแจ้งเตือนและขอร้องอย่างจริงใจต่อพี่น้องประชาชนว่า ขอให้ทุกคนได้โปรดอยู่ที่บ้าน โดยงดเว้นการเข้าร่วมชุมนุมไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใด เพราะนอกจากจะเป็นการเพิ่มความวุ่นวายและซ้ำเติมสถานการณ์อันเลวร้ายต่อบ้านเมืองแล้ว ตัวท่านเองและบุตรหลานก็จะได้รับอันตรายจากการเข้าร่วมชุมนุมด้วย และในภาวะวิกฤติจนอาจกลายเป็นสงครามกลางเมืองเช่นนี้ การบาดเจ็บล้มตายจะหาตัวผู้กระทำผิดหรือกลุ่มคนที่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายหรือนำตัวมาลงโทษ จะเป็นไปโดยยากมาก
นอกจากนี้ ศรส.ได้รับรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2557 ได้รับคดีการขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศไว้แล้วรวมถึง 189 คดี แยกเป็นคดีที่ กปปส.ในกรุงเทพมหานครกระทำการขัดขวางการเลือกตั้ง 51 คดี กปปส.ในต่างจังหวัดกระทำการขัดขวางการเลือกตั้ง 138 คดี คดีที่เจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งไม่จัดการเลือกตั้งในกรุงเทพมหานคร จำนวน 62 คดี และในต่างจังหวัดจำนวน 110 คดี รวมคดีทั้งสิ้น 361 คดี โดยศาลได้ออกหมายจับให้ รวมทั้งสิ้น 141 คน ได้ตัวมาสอบสวนแล้ว 55 คน ทั้งนี้เฉพาะเจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งไม่จัดการเลือกตั้งมีจำนวนถึง 766 คน
ศรส.จึงได้กำชับให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีดังกล่าวโดยรวดเร็วและรัดกุม เพื่อป้องปรามไม่ให้มีการกระทำความผิดซ้ำอีก โดยเฉพาะการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในเร็ววันนี้
ตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำหลักของ กปปส. แถลงว่า ยินดีให้ตำรวจและทหารเข้าตรวจความเรียบร้อยในเขตที่มีการจัดชุมนุมได้แล้ว หลังจากที่เดิมไม่ยอมให้เข้าพื้นที่เลยแม้จะมีเหตุร้ายใด ๆ ก็ตาม ดังนั้น ศรส.จะได้จัดตำรวจและทหารเป็นหน่วยตรวจร่วมเข้าตรวจความเรียบร้อยและเหตุร้ายในบริเวณชุมนุมต่อไป
ส่วนกรณีที่นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ได้ออกมาให้ข่าวกับสื่อมวลชนว่า ศรส.ตั้งมา 33 วัน ใช้เงินไปกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาทนั้น ศรส.ขอชี้แจงว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ในความเป็นจริงนั้น คณะรัฐมนตรีเพิ่งจะมีมติอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายให้ ศรส. แต่ยังจะต้องขอความเห็นชอบ กกต. ก่อน โดยค่าใช้จ่ายที่จะได้รับนั้นล้วนเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าอาหารของทหารและตำรวจที่เข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของทางราชการ โดย ศรส.ขอยืนยันทุกรายการใช้จ่ายจะเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายทั้งสิ้น และเป็นไปโดยประหยัดเท่าที่จำเป็น ซึ่งไม่ได้มีจำนวนมากมายดังที่เป็นข่าว การให้ข่าวของนายบุญยอดฯ จึงเป็นการจงใจบิดเบือนและให้ร้ายต่อ ศรส.
สำหรับเหตุร้ายที่เกิดต่อสถานที่ตั้งของ ศรส. โดยมีกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ใช้อาวุธเครื่องยิงลูกระเบิด ยิงระเบิด M79 เข้าใส่ ศรส. รวม 2 ครั้ง โดยล่าสุดคือ เมื่อคืนวานนี้นั้น เป็นการกระทำของคนร้ายที่ขาดความรับผิดชอบและพยายามที่จะสร้างสถานการณ์โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายต่อสถานที่ราชการและอันตรายที่จะเกิดกับเจ้าหน้าที่หรือประชาชนผู้บริสุทธิ์ จึงควรแก่การถูกประณามเป็นอย่างยิ่ง