"นายสาธิตเป็นคนต่างด้าว สัญชาติอินเดีย ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นพำนักได้ในประเทศไทย ซึ่งตามกฎหมายนายสาธิตจะต้องงดเว้นไม่กระทำความผิดใดๆ ที่กระทบต่อความมั่นคง แต่นายสาธิตได้เข้าร่วมเป็นแกนนำหลักของ กปปส.ขึ้นเวทีอภิปราย ปลุกระดม ยุยงให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายบ้านเมือง นำมวลชนไปปิดล้อมบุกรุกสถานที่ราชการหลายแห่ง แม้เมื่อประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ แล้ว ก็ยังนำมวลชนไปปิดล้อมกรมการบินพลเรือน นายสาธิตจึงเป็นบุคคลที่มีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชนหรือความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร" นายธาริต กล่าว
ทั้งนี้ คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นคณะกรรมการตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้วมีมติเห็นควรเพิกถอนการอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรของนายสาธิตตามมาตรา 53 ประกอบกับมาตรา 12(7) แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ซึ่งบัดนี้ผู้อำนวยการ ศรส.ได้ลงนามเห็นชอบตามมติคณะกรรมการดังกล่าวแล้ว โดยอาศัยอำนาจในการอนุญาตอนุมัติของ รมว.มหาดไทย ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ ที่โอนมาเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีตามประกาศเรื่อง การกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 23 มกราคม 2557 และนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการ ศรส.ในฐานะผู้กำกับการปฏิบัติงานเป็นผู้ใช้อำนาจตามประกาศดังกล่าว สำหรับการดำเนินการให้นายสาธิตออกไปนอกราชอาณาจักรก็เป็นเรื่องที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะได้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
นายธาริต กล่าวว่า กรณีนายยืม นิลหล้า ประชาชนที่ไปนั่งพักผ่อนบริเวณสวนลุมพินี ได้ถูกการ์ด กปปส. ควบคุมตัวและทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยการรุมซ้อมทำร้ายร่างกายแล้วจับมัดไว้ในเต็นท์การ์ดเป็นเวลาถึง 6 วัน มีอาการปอดฉีกขาดและบาดแผลถูกรุมทำร้ายทั่วทั้งร่างกาย แล้วทำการมัดมือมัดเท้าและปิดตานำไปโยนในแม่น้ำบางปะกงเพื่อหวังฆ่าให้ตาย แต่นายยืมสามารถเอาตัวรอดจนได้รับการช่วยเหลือนำตัวส่งโรงพยาบาลบางปะกง
"ศรส.รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว และขอประณามการกระทำของกลุ่มการ์ด กปปส.ที่โหดร้ายทารุณและไร้มนุษยธรรมต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ เพียงเพราะเหตุพบว่านายยืมมีบัตรสมาชิก นปช.ติดตัวเท่านั้น ซึ่งเป็นการกระทำโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง สร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัย ความหวาดระแวงและเกลียดชังระหว่างคนในสังคม ขณะที่แกนนำ กปปส. ยืนยันมาโดยตลอดว่าการชุมนุมเป็นไปโดยสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ" นายธาริต กล่าว
เหตุการณ์นี้มิใช่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่มีการกระทำในลักษณะทำนองเดียวกันนี้กับบุคคลอื่นหลายครั้ง โดย ศรส.จะได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมายโดยเร็วที่สุด และขอให้แกนนำ กปปส. ยุติการสั่งให้การ์ดใช้ความรุนแรงต่างๆ นานา ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นรายวัน ดังเช่นเมื่อวานนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จับกุมการ์ด กปปส. ได้ 2 คน พร้อมอาวุธปืนพก 2 กระบอก และบัตรแสดงตัวเป็นการ์ด กปปส. คือ นายบัณฑิต สกุลบงการ และนายเอกชัย พลภักดี
นายธาริต กล่าวว่า ศรส.รู้สึกคลายความกังวลต่อคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่เดิมเคยวินิจฉัยว่าการชุมนุมของแกนนำ กปปส. เป็นไปโดยชอบ แต่เมื่อวานนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยชัดเจนขึ้นแล้วว่า เฉพาะประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมนั้น ยังคงเป็นไปโดยชอบ แต่สำหรับแกนนำ กปปส.นั้นหากมีการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่นๆ ก็เป็นเรื่องที่ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
"คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวานนี้จึงเป็นที่ชัดเจนว่า แกนนำ กปปส. ที่กระทำความผิดจะต้องถูกดำเนินคดีอย่างแน่นอน จะอ้างคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังในอดีตอีกไม่ได้แล้ว" นายธาริต กล่าว