ศรส.เล็งยื่นศาลแพ่งใช้กรณีปตท.เป็นบรรทัดฐานกรณีกปปส.ปิดล้อมหน่วยราชการ

ข่าวการเมือง Friday March 7, 2014 13:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) แถลงผลการประชุมศูนย์รักษาความสงบ(ศรส.) ว่าที่ประชุม ศรส.วันนี้ได้รับรายงานผลการดำเนินคดีกรณีกลุ่มแนวร่วม กปปส.ที่นำโดยนายระวี มาศฉมาดล กับพวกเข้าปิดล้อมบุกรุก บมจ.ปตท.(PTT) ซึ่งได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง และศาลแพ่งได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวโดยวินิจฉัยว่าการปิดล้อมบุกรุก บริษัท ปตท.บริเวณกระทรวงพลังงานนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการใช้สิทธิเกินสมควรของการชุมนุม จึงมีคำสั่งให้จำเลย คือ แกนนำ กปปส.พร้อมกับผู้ร่วมชุมนุมเปิดทางเข้าออกอาคารของบริษัท ปตท.รวมทั้งให้ออกไปจากพื้นที่โดยรอบอาคาร และขนย้ายทรัพย์สินและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการชุมนุมหรืออยู่ในที่ชุมนุมออกไปจากบริเวณที่ชุมนุมและพื้นที่โดยรอบอาคารจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

ศรส.เห็นว่าแนวทางการดำเนินคดีเช่นนี้ สมควรนำไปใช้กับสถานที่ราชการ และภาคธุรกิจที่ถูกแกนนำ กปปส.นำมวลชนไปปิดล้อมบุกรุกให้ได้รับความเสียหาย โดยในส่วนของหน่วยงานราชการนั้น ศรส.ได้แจ้งกำชับให้ดำเนินการเป็นการเร่งด่วนแล้ว

พร้อมกันนี้ ศรส.ขอประณามการกระทำของแกนนำ กปปส.โดยเฉพาะนายอุทัย ยอดมณี และนายนิติธร ล้ำเหลือ กับพวก ที่ได้นำเอามวลชนไปชุมนุมปิดล้อมด้านหน้าสถานทูตต่างๆ เช่น จีน, อังกฤษ, สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ตลอดทั้งวันเมื่อวานนี้ โดยเฉพาะที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย มีการกล่าวปราศรัยโจมตีเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ รวมถึงกระทำการฉีกแถลงการณ์และโปรยเศษกระดาษเข้าไปในแนวรั้วของสถานทูต ซึ่งแกนนำ กปปส. ด้เคยกระทำการในลักษณะนี้ที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกามาแล้วเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 56 โดยปิดล้อมและปราศรัยโจมตีรัฐบาลสหรัฐอเมริกากล่าวหาว่าแทรกแซงการบริหารราชการของรัฐบาลไทย พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเรียกตัวเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยกลับไป และให้ส่งเอกอัครราชทูตคนใหม่มาปฏิบัติหน้าที่แทน

ซึ่งการกระทำดังกล่าว นอกจากจะเป็นความผิดต่อกฎหมายอาญาฐานกระทำการดูหมิ่นผู้แทนรัฐต่างประเทศ ตามมาตรา 134 แล้วยังเป็นการกระทำที่สมควรถูกประณามอย่างยิ่ง เพราะเป็นการกระทำโดยไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์อันดีของประชาชนทั้งสองประเทศ ซึ่งมีความสัมพันธ์อันยาวนานถึง 177 ปี เป็นการไม่ให้เกียรติต่อสถานที่และผู้แทนทางการทูต ซึ่งไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ ศรส.ได้รับรายงานว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา(6 มี.ค.) บริเวณใกล้กับที่ชุมนุมของ กปปส. มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงถูกประชาชนที่สัญจรผ่านบริเวณดังกล่าวได้รับบาดเจ็บ 2 คน โดยวิถีกระสุนปืนถูกยิงมาจากในบริเวณสวนลุมพินีที่มีการชุมนุม ซึ่งศรส.ได้แจ้งเตือนพี่น้องประชาชนตลอดมาว่า บริเวณการชุมนุมและสถานที่ใกล้เคียง ได้มีเหตุร้ายต่อเนื่องตลอดมา โดยถือเป็นพื้นที่อันตรายอย่างยิ่ง ดังเช่นกรณีนายยืม นิลหล้า ที่ไปนั่งพักผ่อนในสวนลุมพินีใกล้กับบริเวณเวทีชุมนุม แล้วถูกการ์ด กปปส.จับกุมตัวไปซ้อมทำร้าย แล้วมัดตัวไว้ในเต็นท์ของการ์ดนานถึง 6 วัน ก่อนนำตัวไปโยนทิ้งแม่น้ำบางปะกงเพื่อให้ถึงแก่ความตาย

นอกจากนี้ยังมีศพชายไทยอีก 2 ศพ ถูกทำร้ายแล้วอำพรางทิ้งไว้ในรัศมีใกล้กับบริเวณการชุมนุมอีกด้วย ซึ่ง ศรส.ได้พยายามขอร้องแกนนำ กปปส. ตลอดมาให้ยุติการใช้ความรุนแรง และอย่าเปิดโอกาสให้มีกลุ่มคนร้ายปะปนในการชุมนุม แต่ก็ไม่เป็นผล ในขณะที่ ศรส. และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีข้อจำกัดในการปฏิบัติหน้าที่ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งที่มีข้อห้ามถึง 9 ข้อ ดังนั้นในสภาวะเช่นนี้ ศรส.จึงขอร้องพี่น้องประชาชนให้งดเว้นการเข้าร่วมชุมนุมและเข้าไปในพื้นที่ใกล้กับบริเวณที่ชุมนุม เพื่อความปลอดภัยในชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของท่าน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ