"การพูดของคุณสุเทพ 3 ใน 4 ครั้งที่เราคิดว่าน่าจะมีปัญหา ดูจากเนื้อหาและกลุ่มคนที่ไปร่วมฟังว่ามีจำนวนมาก พื้นที่ที่ไปพูด คือ วงเวียนใหญ่, ลานคนเมือง และสวนเบญจศิริ ซึ่งทั้ง 3 ครั้งนั้นมีคนฟังเยอะ การปราศรัยน่าจะโน้มน้าวจูงใจให้เกิดความเข้าใจผิด ในสาระ ในข้อเท็จจริง และเป็นการใส่ร้ายป้ายสีได้" นายสมชัย กล่าว
พร้อมระบุว่า จุดยืนของ กกต.หลังจากลงมติให้ใบเหลืองในครั้งนี้แล้วได้มีความเห็นร่วมกันว่า จะเป็นบรรทัดฐานต่อไปสำหรับการเลือกตั้งในอนาคตในทุกระดับ นั่นคือ การปราศรัยที่ควรต้องเน้นในเรื่องนโยบายที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่เป็นการใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายคู่แข่ง ซึ่งหลังจากนี้การหาเสียงใดๆ หากมีการเข้าข่ายในลักษณะนี้พึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก
นายสมชัย กล่าวว่า ก่อนที่ กกต.จะลงมติได้มีการเปิดให้ กกต.แต่ละคนได้อภิปรายแสดงความคิดเห็นกันก่อน เนื่องจากเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีสำคัญ และถือเป็นคดีใหญ่ที่อยู่ในความสนใจของสังคม โดยยืนยันว่าได้พิจารณาสำนวนคดีนี้อย่างตรงไปตรงมา
"ผมพิจารณาอย่างตรงไปตรงมา มีจุดยืนของผม" นายสมชัย กล่าว
สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ กกต.จะต้องยื่นเรื่องไปที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก่อนครบกำหนด 1 ปีนับจากวันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.(ภายในไม่เกินวันที่ 27 มี.ค.) ซึ่งหากศาลรับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ โดยให้รองผู้ว่าฯ กทม.ขึ้นมาทำหน้าที่แทน จากนั้นหากศาลตัดสินไม่เห็นด้วยกับคำร้องของ กกต. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะสามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าฯ กทม.ได้ตามเดิม แต่หากศาลเห็นด้วยกับมติกกต.ก็ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 วัน
"หลายครั้งที่ศาลอาจจะตัดสินไม่ตรงกับ กกต. เพราะมีมุมที่แตกต่างได้ เช่นกรณีของนายไพร พัฒโน นายกเทศมนตรีหาดใหญ่ ซึ่ง กกต.ชุดที่แล้วให้ใบแดง แต่พอเรื่องไปถึงศาล ศาลก็ยกคำร้อง" นายสมชัย กล่าว