"เกือบทุกครั้งที่มีการชุมนุมใหญ่ๆ จะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เป้าหมายเพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง ซึ่งทางตำรวจกำลังติดตามสถานการณ์อยู่"พล.ต.ท.วินัย กล่าวในรายการโทรทัศน์
พล.ต.ท.วินัย ยอมรับว่า เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มีสาเหตุเกิดจากฝ่ายการเมืองนั้น การสืบสวนสอบสวนทำได้ยาก ไม่เหมือนสาเหตุจากกรณีของบุคคล แต่ทางผู้บัญชาการตำรวจ(ผบ.ตร.)ได้กำชับให้หาตัวผู้กระทำผิดให้ได้ เช่น การยิง M79 ยิงจากที่นึงไปตกอีกที่นึง เมื่อระเบิดแล้วชิ้นส่วนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์ต่างๆทำได้ยาก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทั้งตำรวจและทหารร่วมกันตั้งจุดตรวจเพื่อสกัดกั้นไม่ให้มีการลักลอบขนอาวุธเข้ามาในกรุงเทพฯ
ส่วนจะเป็นการสร้างเงื่อนไขเพื่อต้องการเรียกให้ทหารออกมาหรือไม่ พล.ต.ท.วินัย กล่าวว่า นั่นเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน แต่ตอนนี้ฝ่ายสืบสวนกำลังตรวจสอบกลุ่มบุคคลต้องสงสัยประมาณ 10 กว่าคนว่าเข้ามาในที่เกิดเหตุตามสถานที่ต่างๆหรือไม่
"เรามีแนวทางการสืบสวนว่า 10 กว่าคนนี้เข้ามาในที่เกิดเหตุในวันที่เกิดเหตุหรือไม่ เพราะถ้าเข้ามาก็จะทำเชื่อมั่นในแนวทางการสอบสวนมากขึ้น"รอง ผบ.ตร. กล่าว
พล.ต.ท.วินัย กล่าวว่า เรื่องกล้องวงจรปิดบางครั้งไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลายคดีที่เราได้ภาพจากกล้องวงจรปิดของเอกชน แต่ขอภาพจาก กทม.ไม่ได้รับความร่วมมือ เนื่องจากกล้องวงจรปิดของกทม.ส่วนใหญ่ในพื้นที่เกิดเหตุใช้การไม่ได้
"เหตุรุนแรงที่ราชประสงค์เราตรวจสอบจากกล้องของเอกชนเราได้ข้อมูล แต่เหตุเกิดมา 1 เดือนแล้วเราประสานขอความร่วมมือจาก กทม.ได้รับคำตอบว่ารอผู้ใหญ่สั่ง เราก็ไปขออยู่เรื่อยๆ จนจะเบื่อหน้ากันอยู่แล้ว หรืออย่างเหตุระเบิดหน้าสำนักงานอัยการสูงสุด กล้องของ กทม.ใช้การไม่ได้ทั้งหมด ทำให้เราต้องใช้ข้อมูลจากกล้องของสำนักงานอัยการสูงสุดเอง ส่วนเหตุที่หน้าศาล กล้องของศาลก็อยู่บริเวณภายใน ส่วนกล้องของ กทม.ที่ติดอยู่ตามถนนใช้การไม่ได้"รอง ผบ.ตร.กล่าว
ทั้งนี้ ล่าสุด เมื่อเวลาประมาณ 05.20 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทุ่งมหาเมฆ ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ทหารที่ประจำอยู่ใต้สะพานไทยเบลเยี่ยมว่ามีพบวัตถุต้องสงสัยบริเวณหลังป้อมตำรวจจราจรแยกวิทยุ 1 ลูกบริเวณหน้าตึก Q HOUSE ด้านทางลง BTS ลุมพินี ชุด EOD จึงได้เข้าเก็บกู้ ปรากฎว่าเป็นขวดพันเทปกาวสีดำไม่ใช่ระเบิดแต่ยังใด ขณะนี้ได้เปิดการจราจรตามปกติแล้ว