ทั้งนี้ ตามนโยบายของ ศอ.รส. ร่วมกับส่วนราชการต่างๆ ได้เห็นถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการที่กลุ่ม กปปส. หรือกลุ่มอื่นใด ได้นำมวลชนไปปิดล้อมสถานที่ราชการหรือหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ ดังนั้น ศอ.รส. ร่วมกับส่วนราชการจึงได้ดำเนินการเปิดสถานที่ราชการต่างๆ ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดทำการได้ถึง 67 แห่งแล้ว
ทั้งนี้ ศอ.รส. ขอร้องกลุ่มมวลชนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม กปปส. กลุ่ม นปช. หรือกลุ่มอื่นใดให้งดเว้นการเข้าปิดล้อม ปิดกั้น และคุกคามการทำงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ ศาล และหน่วยงานต่างๆ เพราะเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมืองอย่างมาก โดยเฉพาะการให้บริการประชาชนของหน่วยงานต่างๆ ก็จะต้องหยุดลง หรือเป็นโดยล่าช้าหรือเสียหาย อันเป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมาย โดยหาได้เกิดประโยชน์กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเลย
นอกจากนี้ ศอ.รส. ยังมีนโยบายให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญากับแกนนำกลุ่ม กปปส. หรือกลุ่มอื่นใดที่มีพฤติกรรมดังกล่าว โดยขณะนี้มีการดำเนินคดีกับแกนนำกลุ่มต่างๆ ที่นำมวลชนไปปิดล้อม ปิดกั้น และคุกคามการทำงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้วเป็นจำนวนทั้งสิ้น 35 คดี โดยแยกเป็นคดีของ กปปส. จำนวน 32 คดี เป็นคดีของกลุ่ม กวป. ที่ได้ไปปิดล้อมบริเวณสำนักงาน ป.ป.ช. จำนวน 3 คดี ทั้งนี้ ศอ.รส. ขอเน้นย้ำว่าจะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในความผิดฐานบุกรุกปิดล้อมสถานที่ราชการและหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ โดยไม่มีการละเว้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม กปปส. กลุ่ม นปช. หรือกลุ่มอื่นใด
ส่วนกรณีเกิดเหตุระเบิดขึ้น เมื่อคืนวันที่ 29 มี.ค.2557 บริเวณซอยราษฎร์อุทิศ 25 และ 27 เขตมีนบุรี ซึ่งมีผู้เสียชีวิตสองราย และมีการพบระเบิดและอุปกรณ์ทำระเบิดจำนวนหนึ่งนั้น เนื่องจากระเบิดดังกล่าวอาจถูกนำไปใช้ในการก่อเหตุรุนแรงได้ ศอ.รส. จึงได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ติดตามตรวจสอบเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และจะได้แจ้งให้ทราบถึงความคืบหน้าต่อไป