ในส่วนของกลุ่ม กปปส.จะใช้อัตรากำลังเจ้าหน้าที่ตามเดิมที่ปฏิบัติงานอยู่ ส่วนการชุมนุมของกลุ่ม นปช.จะมีการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลการชุมนุม โดยจะใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารจำนวนทั้งสิ้น 19 กองร้อย หรือกว่า 3,000 นาย บูรณาการร่วมกันในการตั้งด่านตรวจคัดกรองบุคคล ยานพาหนะ และอาวุธต่าง ๆ และยังมีการจัดสายตรวจผสมตำรวจและทหาร เพื่อออกตรวจตราในพื้นที่ 3 เขต ได้แก่ พุทธมณฑลสาย 3 พุทธมณฑลสาย 4 และทวีวัฒนา
นอกจากนี้ ศอ.รส.ยังได้จัดชุดปฏิบัติการมวลชนเพื่อให้บริการด้านข้อมูลและการแพทย์ รวมทั้งชุดเคลื่อนที่เร็วสำหรับแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้วย ศอ.รส. จึงขอเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนงดเว้นการเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มใดๆ เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง และขอเรียกร้องให้แกนนำทั้งสองฝ่ายจัดการชุมนุมโดยสงบ และไม่ยั่วยุมวลชนให้เกิดการเผชิญหน้ากัน
พร้อมกันนี้ ศอ.รส.ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ เนื่องจากในวันนี้ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ชี้แจงเกี่ยวกับความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศอันเป็นผลมาจากการชุมนุมทางการเมืองของ กปปส. และกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะการชุมนุมปิดกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย
โดย สศช.ได้ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จากเดิม 4.0-5.0% เป็น 3.0-4.0% ซึ่งมีปัจจัยมาจากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักธุรกิจที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ลดลง และการชะลอการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนและการชะลอการลงทุนของภาคธุรกิจ อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองและความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
การประมาณการนี้สอดคล้องกับการคาดการณ์ของหน่วยงานเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) และศูนย์วิจัยกสิกรไทย เป็นต้น ซึ่งล้วนปรับลดประมาณการทางเศรษฐกิจของไทยลงเหลือไม่ถึงร้อยละ 3
นอกจากนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังระบุว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อยู่ที่ระดับ 68.8 ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 149 เดือนนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2544 เป็นต้นมา เนื่องจากผู้บริโภคยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยในอนาคต และล่าสุดบริษัท Japan Credit Rating Agency หรือ JCR ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของญี่ปุ่น ได้ปรับแนวโน้มความน่าเชื่อถือของประเทศไทยเป็นลบ เนื่องจากปัจจัยความวุ่นวายทางการเมืองที่ยืดเยื้อซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น ศอ.รส.จึงมีความกังวลว่า หากการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. และกลุ่มอื่นๆ ยังยืดเยื้อต่อไป และวิกฤติการณ์ของความขัดแย้งยังไม่ยุติ ก็มีแนวโน้มว่าประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยก็อาจลดต่ำลงจนถึงระดับติดลบได้