"มันไม่เคยมีกลียุค ที่ ป.ป.ช.เคยตัดสินคดีใหญ่มาเยอะ ยังไม่เคยมีผลกระทบถึงกลียุค...ไม่มีทางทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย เราไม่ใช่เพิ่งมาตัดสินดูระยะเวลาเข้าปีที่ 8 แล้ว เราตัดสินคดีใหญ่ๆมาเยอะ ศาลฎีกาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ตัดสินคดีใหญ่ๆมาเยอะ ไม่มีเลยที่จะกระทบกระเทือน" นายวิชา กล่าว
ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีโพสต์ข้อความในผ่าน FB แสดงความคิดเห็นในลักษณะไม่ได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาคดีนั้น นายวิชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน
นายวิชา กล่าวว่า การพิจารณาคดีโครงการรับจำนำข้าว โดยส่วนตัวไม่มีอคติกับนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด เพราะตนเองถูกปลูกฝังตั้งแต่เป็นผู้พิพากษาที่จะต้องปราศจากอคติ 4 ด้าน คือต้องไม่มีความลำเอียงด้วยความกลัว โกรธ รัก และหลง
อย่างไรก็ตาม นายวิชา ระบุว่า การทำหน้าที่ของตนเองและคณะกรรมการ ป.ป.ช.ทุกคนต้องทำหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง แม้ว่าจะมีความพยายามดิสเครดิตคณะกรรมการป.ป.ช.ก็ตาม
ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีส่งทนายความฯ มายื่นคำร้องให้สอบพยานเพิ่มอยู่ตลอดเวลานั้นถือว่าเป็นการประวิงเวลาหรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ที่ทำการไต่สวนในคดีนี้ที่จะพิจาณาว่าพยานเพียงพอต่อการชี้มูลความผิดแล้วหรือไม่
พร้อมทั้งฝากเตือนทีมทนายความฯ ไม่ควรออกมาแสดงความเห็นในเรื่องของคดีความหรือพูดแทนผู้ถูกกล่าวหาโดยเด็ดขาด ซึ่งหากยังคงแสดงความคิดเห็นถือว่าเป็นการทำที่ผิดระเบียบ ซึ่งอาจจะมีการพิจารณาในชั้นกรรมการไต่สวน และอาจจะถึงขั้นไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องของคดีความเลย
นายวิชา ยังกล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการสรรหา ป.ป.ช. มีมติเลือก น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. แทน นายใจเด็ด พรไชยา ที่พ้นวาระนั้น นายวิชา กล่าวว่า มีความคุ้นเคยกับ น.ส.สุภา อยู่แล้ว เพราะเคยช่วยทำงานใน ป.ป.ช. ซึ่งถือว่ามาช่วยเติมเต็มงานของ ป.ป.ช. และถือเป็นสีสันเพราะคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังขาดผู้หญิงมาทำหน้าที่ตรงนี้