ประเด็นแรกที่อยากจะขอย้ำครับ ผมพบปะมาทุกฝ่าย ทุกฝ่ายมีแต่ความวิตกกังวล ห่วงใยในสถานการณ์ปัจจุบัน ทุกฝ่ายรับรู้ ถึงสภาพความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน จากปัญหาเศรษฐกิจที่ไม่ได้รับการแก้ไข จากความเครียดที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางการเมือง จากความกังวลที่มองไม่เห็นว่าอนาคตที่รออยู่ข้างหน้านั้นจะดีกว่าปัจจุบันอย่างไร แต่ในขณะที่ทุกฝ่ายมีความวิตกกังวล มีความทุกข์ มีความเดือดร้อน มีความห่วงใยเช่นนี้ ทางเดินที่เราเห็นอยู่จากฝ่ายต่างๆ ในปัจจุบันนั้น ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทางหนึ่งก็ชัดเจนว่ารัฐบาลบอกว่าประเทศจะเดินหน้านั้นให้ทุกคนไปเลือกตั้งโดยเร็ว ไม่ว่าสภาพความขัดแย้งความไม่เรียบร้อยในบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร และก็ยังคงมีเป้าหมายในการที่จะรักษาอำนาจให้นานที่สุด รวมทั้งมีการกล่าวว่าหากมีการตัดสินในคดีความที่เป็นผลลบต่อรัฐบาลเองก็จะใช้วิธีในการไปขอพระบรมราชวินิจฉัย นี่คือทางเลือกที่รัฐบาลกำลังเสนอให้กับพี่น้องประชาชน และประเทศไทยในปัจจุบัน
อีกด้านหนึ่งในส่วนของ กปปส. ก็ประกาศชัดเจนว่าจะมีการเคลื่อนไหวใหญ่ในวันที่ 13 - 14 พ.ค. แล้วก็ประกาศว่ามีเป้าหมายในการที่จะยึดคืนอำนาจมาให้แก่พี่น้องประชาชน
ประการที่ 3 ในขณะที่ กปปส. ได้ประกาศความเคลื่อนไหว กลุ่ม นปช. ก็ได้มีการประกาศเคลื่อนไหวใหญ่เช่นเดียวกัน และก็มีคนจำนวนมากคาดการณ์ หรือกังวลว่าการเคลื่อนไหวของมวลชนอาจจะนำไปสู่ความรุนแรง ความสูญเสีย และในที่สุดก็อาจจะย้อนรอยปี 2549 ที่เกิดการปฏิวัติ รัฐประหารขึ้น เพื่อจะป้องกัน หรือยับยั้งความรุนแรง และความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น
ด้านที่ 4 ก็มีบางฝ่ายที่ตั้งความหวังว่า คดีความบางคดีจะสามารถเป็นคำตอบให้กับประเทศได้ โดยที่บรรยากาศขณะนี้ก็เห็นชัดเจนว่า มีแนวโน้มว่าถ้าคดีความออกมาทางหนึ่งทางใด ฝ่ายที่ไม่พอใจก็อาจจะปลุกระดมให้เกิดปัญหาความขัดแย้งที่ตามมาจากผลของการวินิจฉัยคดีนั้น หรือในกรณีที่คำวินิจฉัยของศาลไม่สามารถให้คำตอบที่เป็นที่ยอมรับชัดเจนว่าจะเดินหน้าประเทศได้อย่างไร ก็ย่อมมีโอกาสจะนำมาสู่ความขัดแย้งเช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้นทางเลือกโดยรัฐบาลก็ดี โดยกปปส. ก็ดี โดยปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากการปะทะกันของมวลชนก็ดี โดยที่จะเกิดขึ้นจากคดีความก็ดี หรือทางเลือก ทางออกอื่นๆ ที่มีการพูดกันเช่น ที่เสนอโดยคณะรัฐบุคคล ผมเห็นว่าล้วนแล้วแต่ยังมีความเสี่ยงและอาจจะไม่สามารถให้คำตอบให้กับประเทศไทยได้เลย
ข้อเสนอที่ผมพยายามจัดทำ แล้วก็จะได้นำเสนอต่อไปนี้ จึงต้องการที่จะหยุดยั้ง ป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายดังต่อไปนี้ ประการแรก ไม่ต้องการจะเห็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับชีวิต หรือเลือดเนื้อของพี่น้องประชาชนอีกต่อไป คงไม่ต้องขยายความครับ เพราะว่าผมเชื่อว่า พี่น้องคนไทยทุกคนก็คงไม่ประสงค์ที่จะเห็นความสูญเสียที่เกิดขึ้น
ประการที่ 2 ผมไม่ต้องการเห็นการสูญเสียประชาธิปไตย หรือการเดินออกนอกรัฐธรรมนูญ เพราะผมก็ยืนยันมาโดยตลอดว่าการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนั้นสุดท้ายก็จะไม่สามารถที่จะสะสางปัญหาต่างๆ ได้จริง และกลับจะเป็นการผูกปมความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตได้
ประการที่ 3 ที่ผมต้องการหลีกเลี่ยงก็คือการดึงเอาสถาบันต่างๆ ซึ่งพึงจะอยู่ หรือที่ประชาชนเทิดทูนให้อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองตกเข้ามาอยู่ในวังวนของความขัดแย้งทางการเมืองด้วย ไม่ว่าจะเป็นศาล แล้วก็แน่นอนที่สุดก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์
ข้อเสนอของผมจึงอยู่บนพื้นฐานของการตอบโจทย์ให้กับประเทศไทยที่ได้กล่าวมา แล้วก็จึงมีหลักการสำคัญก็คือ ประเทศจะเดินหน้าไปได้ด้วยดีต้องเข้าสู่การปฏิรูป แต่ต้องเป็นการปฏิรูปที่มีทั้งความชอบธรรม มีการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย
การผลักดันการปฏิรูป ซึ่งต้องเริ่มต้นทันที แต่ไม่สามารถที่จะจบลงได้ก่อนการเลือกตั้ง ข้อเสนอผมก็จะต้องมีคำตอบเกี่ยวกับช่วงเปลี่ยนผ่านทั้งก่อน และหลังการเลือกตั้ง เรื่องรัฐบาล เรื่องสภา ตามหลักการที่กล่าวมาทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ในข้อเสนอของผมนั้น ก็จะต้องมีจุดหนึ่งที่จะต้องมีการเลือกตั้ง ในระยะเวลาที่เกิดขึ้นโดยเร็ว เมื่อเงื่อนไขการเลือกตั้งพร้อม นั่นก็คือการเลือกตั้งที่เสรี เป็นธรรม สุจริต เที่ยงธรรม เลือกตั้งที่ประชาชน และพรรคการเมืองทุกฝ่ายเข้าไปมีส่วนร่วม ยอมรับ ประสบความสำเร็จในการนำไปสู่การมีสภา และการมีรัฐบาล
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ข้อเสนอที่จะได้นำเสนอในอีกวัน สองวันข้างหน้า ความสำคัญชัดเจน หลักการชัดเจน เป้าหมายชัดเจน แต่จะประสบความสำเร็จได้นั้นก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายให้การยอมรับข้อเสนอนี้ ผมพูดตั้งแต่วันแรกว่าข้อเสนอในลักษณะนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่วางลงมาแล้วจะถูกใจฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด แต่ผมก็มั่นใจว่าเป็นข้อเสนอที่ยึดประโยชน์ส่วนรวม มีเหตุผล หลักการ รองรับที่ทำให้ใครก็ตามที่จะปฏิเสธนั้น ต้องมี และให้เหตุผลที่ดีแก่สังคมว่าทำไมจึงจะไม่ยอมรับข้อเสนอดังกล่าว
แต่แน่นอนครับ เมื่อข้อเสนอมันไม่ถูกใจใครก็ตาม สิ่งที่ผมกำลังทำก็คือ ผมกำลังต้องไปขอ ขอทุกฝ่ายให้พิจารณาข้อเสนอของผม และยึดเอาประโยชน์สูงสุดของประเทศของส่วนรวมเป็นหลัก ตามแนวทางหลักการที่ผมพูดมาทั้งหมด ซึ่งผมเชื่อว่าไม่มีใครปฏิเสธ
แต่เมื่อผมก็จะต้องไปขอทุกฝ่าย ผมก็มีคำถามที่ผมต้องตอบกับประชาชน และสังคมเหมือนกัน เพราะผมก็พูดมาโดยตลอดว่า ผมก็ไม่ใช่เป็นกลาง ผมก็ไม่ใช่คนกลาง และผมก็ยอมรับว่าผมก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา และเป็นคนหนึ่งที่มีบทบาทในการนำพาประเทศชาติบ้านเมืองมาสู่จุดนี้ ผมจึงต้องตอบคำถามแก่สังคมว่า แล้วในข้อเสนอของผม ในแผนของผมนี้ ตัวผมอยู่ตรงไหน หรือผมได้ประโยชน์อะไรหรือเปล่า เพื่อความชัดเจน เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าข้อเสนอที่ผมจัดทำทั้งหมดนี้เป็นข้อเสนอที่อยู่บนพื้นฐานของความจริงใจที่จะให้บ้านเมืองมีทางออก
"ผมขอประกาศอย่างชัดเจนว่า หากทุกฝ่ายยอมรับข้อเสนอผม ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นต่อไป ผมจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าในการเดินตามแผนหรือข้อเสนอของผมทั้งหมดตลอดทาง ผมจะไม่มีสถานะ ตำแหน่งใดๆ ทางการเมืองทั้งสิ้น แต่จะเป็นเพียงประชาชนคนหนึ่งที่จะสนับสนุนให้การปฏิรูปที่เกิดขึ้นตามแนวทางของผมนี้ประสบความสำเร็จ"นายอภิสิทธิ์ กล่าว