วันนี้ศาลฯ นัดไต่สวนพยานทั้งหมด 4 ปาก ประกอบด้วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี, นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ในฐานะผู้ยื่นคำร้อง, นายถวิล เปลี่ยนศรี และ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม และอดีตเลขาธิการ สมช. ซึ่งล่าสุดพยานทั้ง 4 ปากเดินทางมาครบแล้ว โดยหากศาลรัฐธรรมนูญได้รับฟังการไต่สวนข้อเท็จจริงจากพยานทั้งหมดแล้วเห็นว่ามีข้อมูลและข้อเท็จจริงครบถ้วนเพียงพอ ก็อาจจะมีคำสั่งนัดวันแถลงด้วยวาจาก่อนลงมติ หรือมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง
สำหรับประเด็นพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญมี 3 เรื่อง คือ 1.เมื่อยุบสภาแล้ว ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะสิ้นสุดลงหรือไม่ 2. น.ส.ยิ่งลักษณ์ กระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญจนเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดหรือไม่ และ 3.หากความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์สิ้นสุดลงแล้ว จะเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของ ครม.ทั้งชุดสิ้นสุดลงด้วยหรือไม่
ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญชี้แจงว่าการไต่สวนพยานแค่ 4 ปากก็เพียงพอแล้ว แม้ทั้ง 2 ฝ่ายจะร้องขอให้เพิ่มพยานมากกว่านี้ แต่ศาลไม่อนุญาตให้เช่นกัน
ศาลรัฐธรรมนูญได้เริ่มไต่สวนนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา เป็นปากแรก ซึ่งนายไพบูลย์ ขึ้นเบิกความว่า ผู้ร้องกระทำการต้องห้ามโดยย้าย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี จากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) มาเป็นเลขาธิการ สมช.เพื่อให้ตำแหน่งว่างลง เพื่อประโยชน์ต่อเครือญาติ คือ ให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)แทน
พร้อมกันนั้น นายไพบูลย์ ระบุว่า กรณีดังกล่าวแตกต่างจากกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีจากกระทำความผิดส่วนตัว แต่กรณีกรณีนี้เป็นการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญร่วมกันของ ครม.ทั้งชุด จึงขอให้ศาลสั่งให้มีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ทันทีหากความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ สิ้นสุดลงโดยอนุโลม
ในช่วงทนายผู้ถูกร้องซักค้าน นายไพบูลย์ ยอมรับว่าเคยเป็นที่ปรึกษาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 50 และรับรู้ว่านายกรัฐมนตรีแบ่งงาน สตช.ให้รองนายกรัฐมนตรีดูแล นอกจากนี้ ตัวนายไพบูลย์เคยขึ้นเวทีปราศรัยของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.)โดยต้องการให้รัฐบาลนี้พ้นจากการบริหารราชการแผ่นดิน