สำหรับกลุ่มที่มีเจตนาไม่หวังดี ปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายนั้น ขณะนี้เจ้าหน้าที่มีเบาะแสและจะดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องอาวุธสงครามจะดำเนินการอย่างเข้มข้นเพื่อป้องกันและป้องปราม ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ติดตามจับกุมผู้ต้องสงสัย ผู้ต้องหาเพิ่มขึ้น และจะดำเนินการเช่นนี้ต่อไป
ส่วนผู้ที่ยังไม่มารายงานตัวตามคำสั่ง คสช.นั้น จะต้องทำเรื่องชี้แจงเหตุผลความจำเป็นแจ้งเข้ามา แต่จะอนุญาตหรือไม่ขึ้นอยู่กับ คสช.ซึ่งกรณีที่นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักวิชาการอิสระ ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่ คสช.เรียกมารายงานตัวอ้างว่าทหารไม่ประสงค์ดีต่อตัวเองนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะในช่วง 6 เดือนที่ทหารเข้ามาเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานได้ดำเนินการตามกฎหมาย ไม่มีเจตนาใช้ความรุนแรงใดๆ เจ้าหน้าที่ยึดตามกรอบกฎหมายเป็นหลัก ซึ่งทันทีที่มามอบตัวก็มีการหารือทำความเข้าใจกัน
ขณะที่กรณีของนายการุณ โหสกุล อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่ภรรยาได้มาร้องเรียนต่อ คสช.ว่ายังไม่ได้รับการปล่อยตัวนั้น พ.อ.วินธัย เปิดเผยว่า นายการุณได้รับการปล่อยตั้งแต่ 2 วันที่ผ่านมา และบุคคลที่ได้รับการปล่อยตัวไปแล้ว โดยเฉพาะแกนนำกลุ่มต่างๆ นั้น ทาง คสช.จะไม่เข้าไปติดตามพฤติกรรม เพราะเรื่องใดที่เป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความหวาดระแวงซึ่งกันและกันทาง คสช.จะไม่ทำ จึงยึดหลักว่าเมื่อเรียกแล้วมารายงานตัวก็จะไว้ใจซึ่งกันและกัน และเชื่อว่าทุกคนอยากให้ประเทศเกิดความสงบสุข
พ.อ.วินธัย ยังกล่าวถึงกรณีที่องค์กรสิทธิมนุษยชนระบุถึงอำนาจของศาลทหารที่จำเลยไม่สามารถมีทนายได้นั้น เป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะศาลทหารมีกระบวนการพิจารณาคดีไม่แตกต่างจากศาลพลเรือน เพียงแค่ในช่วงภาวะไม่ปกติคงจะมีเพียงศาลเดียว ขณะที่ประเด็นที่กังวลเรื่องการนิรโทษกรรมนั้นไม่ได้อยู่ในนโยบายของ คสช. และไม่เคยมีการพูดคุยกัน แต่นโยบายหลักจะมุ่งเน้นเรื่องของการสร้างความปรองดอง
ด้านการอนุญาตให้ทีวีทั้ง 14 ช่องที่ คสช.ระงับการออกอากาศนั้น เนื่องจากทั้ง 14 ช่องมีส่วนในการขยายผลความขัดแย้ง ซึ่งขณะนี้ คสช.อยู่ระหว่างการพิจารณา ส่วนกรณีของสถานีโทรทัศน์วอยส์ทีวีซึ่งเป็นทีวีดิจิตอล แม้ว่าตามระเบียบของ กสทช. ระบุว่าห้ามงดการออกอากาศเกิน 30 วัน เพราะจะกระทบต่อไลเซ้นท์การอนุญาตการออกอากาศ ซึ่งทาง คสช.ได้ชี้แจงว่าขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณา โดยยืนยันว่าไม่ได้มองในเรื่องของสี แต่มองการทำความเข้าใจต่อสถานการณ์บ้านเมืองมากกว่า
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช.กล่าวถึงช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เป็นช่วงที่ประชาชนจับตามอง และให้ความร่วมมือกับ คสช. เป็นอย่างมาก ซึ่ง คสช.ตระหนักดีว่าบางประกาศและคำสั่งกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนและผู้ประกอบการ ซึ่งขณะนี้ คสช.กำลังพิจารณาผ่อนปรนมาตรการต่างๆ เพื่อให้วิถีการดำเนินชีวิตกลับเข้าสู่ภาวะปกติเร็วที่สุด ส่วนการสร้างความเข้าใจกับต่างประเทศ คสช.ได้เดินหน้าใช้กลไกหลักให้กระทรวงต่างประเทศทำความเข้าใจผ่านสถานทูตต่างๆ ให้เป็นไปในทางที่ดีที่สุด
"คสช.เข้าใจความเดือดร้อนของประชาชนและตระหนักถึงความเดือดร้อนจากเหตุแผ่นดินไหวทางภาคเหนือ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดูผลกระทบ และเร่งในเรื่องของการแจ้งเตือน เร่งรัดแผนงานฟื้นฟู เยียวยาเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งมีหลายหน่วยงานในการเข้าไปเร่งรัดดำเนินการอย่างเร็วที่สุด"พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าว