อีกทั้งรัฐบาลก็ควบคุมรัฐวิสาหกิจที่เป็นถุงเงินถุงทอง อย่าง บมจ.ปตท(PTT)ซึ่งด้านหนึ่งมีสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจ และอีกด้านก็เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รัฐถือหุ้นสัดส่วน 60-70% กรรมการก็มีแต่ข้าราชการที่อาศัยทำมาหากินเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจมาช้านาน ซึ่งขณะนี้ยังมีรัฐวิสาหกิจลักษณะนี้อยู่อีกมาก
ดังนั้น คาดหวังว่าอีก 2-3 สัปดาห์จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐวิสาหกิจบางแห่ง ซึ่งจะทำให้ภาพลักษณ์ดีขึ้น เพราะคณะกรรมการจะมาจากคนภายนอกมากกว่าคนภายใน
นายอานันท์ กล่าวอีกว่า ที่สำคัญคือหากผู้นำไม่คอร์รัปชันเสียเอง การโกงกินหรือฉ้อราษฎร์บังหลวงก็จะน้อย โดยยกตัวอย่างสมัยที่ตนเองดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เคยพูดว่านายกฯไม่โกงสักคน หรือควบคุมรัฐมนครีครึ่งหนึ่งไม่ให้โกงได้ ปัญหาการโกงก็จะน้อยลง แต่ขณะนี้มีการคอร์รัปชั่นลึกกว่านั้นที่เรียกกันว่าคอร์รัปชันทางนโยบาย อย่างเช่นรัฐบาลมีการดำเนินการจัดสรรงบประมาณของกระทรวง ทบวง กรม และกองทัพอีกด้วย เพื่อโฆษณาตัวเอง ซึ่งผู้รับก็จะเป็นสื่อมวลชน สื่อก็ตกเป็นทาส ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอีก
ปัญหาอยู่ที่คนกลุ่มหนึ่งได้อำนาจมากเกินไปและไม่มีการหยุดยั้ง รวมถึงไม่มีการคานอำนาจทำให้การใช้อำนาจไม่ถูก เห่อเหิม ไม่รู้จักพอ เข้าควบคุมรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งส่งคนของตัวเองเข้ามานั่งเป็นกรรมการ รัฐวิสาหกิจ ซึ่งประวัติที่ผ่านมาก็ไม่ดี ดังนั้น จึงเห็นว่าช่วงนี้เป็นโอกาสดีที่คสช.จะปรับโครงสร้างอำนาจ ต้องให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน ให้มีการแบ่งปันอำนาจ และมีความโปร่งใส ที่ผ่านมาเห็นว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมาเป็นการหลอกลวงประชาชน รวมทั้งจัดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับข้าราชการ ที่ผ่านมาข้าราชการเป็นทาสของเงิน ทาสของอำนาจของผู้ใช้อำนาจ
"ถึงจังหวะปิดเมืองไทยชั่วคราวเพื่อซ่อมแซม (close renovation) แต่อย่าปิดนานนะ อย่าหลงอำนาจตัวเอง ปิดนานนักหนักอีก ต้องการวิธีการแบ่งปันอำนาจ เท่าที่ผ่านมาฝ่ายจัดการ(คสช.)ถือว่าใช้ได้ แต่อนาคตยังไม่แน่นอน...ที่สำคัญคือการเอาคนอื่นเข้ามาร่วมด้วยที่ไม่ใช่พรรคพวกเดียวกัน" นายอานันท์ กล่าว
นายอานันท์ กล่าวอีกว่า ในระยะ 3 เดือนข้างหน้าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หวังว่าเราคงไม่เดินทางที่ผิด ไม่เดินย้อนอดีต และไม่เดินเข้าสู่ทางตันอีกครั้ง หรือที่พูดกันเล่นๆว่าอย่าทำให้ของเสีย เพราะนี่คือโอกาสสุดท้าย และเป็นโอกาสสุดท้ายที่ไม่ได้มีผลต่อเรา แต่มีผลต่อลูกหลานของเรา ขณะนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยจะมีการปราบปรามการคอรัปชั่นอย่างจริงจัง เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าการฉ้อราษฎร์บังหลวง การโกงกินเป็นโรคร้ายต่อไทยมานานแล้ว ซึ่งระยะหลังก็มากขึ้นจนน่ากลัว ทั้งมาจากข้าราชการ การเมือง ขณะเดียวกันศีลธรรมจริยธรรมก็ไม่มี คนไทยนับว่าจะยิ่งแต่ลดคุณค่าของชีวิตและสังคมจนไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ สังคมไทยหลาย 10 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ดำเนินการปราบปรามอย่างจริงจังทั้งการป้องปรามและเอาผิดด้านกฎหมายเพื่อให้ปัญหาเหล่านี้เบาบางลง เช่น สิงคโปร์ที่เคยเป็นประเทศที่มีคอร์รัปชันสูง ปัจจุบันก็ลงน้อยลงมา สวนทางประเทศไทยที่มีคอร์รัปชันเพิ่มขึ้น ดังนั้นทุกภาคส่วนทั้งรัฐบาล เอกชน และประชาชนต้องร่วมกันเปลี่ยนแปลงทัศนคติให้ตระหนักรู้อะไรผิดอะไรถูก ไม่ใช่เก่งแต่โกง
"ที่ผ่านมาไม่มีมาตรการแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม เพราะถึงแม้จะมีกฎหมายก็ใช่ว่าจะมีความเป็นธรรมเสมอไป ประเทศไทยยังมีระบบที่ไม่โปร่งใส ไม่มีมาตรการเอาผิด เพราะกฎหมายอย่างเดียวไม่สามารถปราบคอร์รัปชันได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือ การอบรมปลูกฝังลูกหลานตั้งแต่เด็ก ทำให้เกิดความเกรงกลัวกฎหมาย สั่งสอนให้คนมีหิริโอตัปปะ ละอายต่อบาป ทุกอย่างต้องเริ่มที่จิตสำนึกของคนเป็นพื้นฐาน เริ่มจากที่มีอำนาจ มีความรับผิดชอบในสังคมต้องทำตนให้เป็นตัวอย่าง โดยขณะนี้บรรยากาศในการปราบปรามคอร์รัปชั่นดีขึ้น แต่ยังไม่เพียงพอเพราะยังไม่ทำกันอย่างจริงจัง เราจึงต้องอยู่อย่างมีความหวังในห้วงเวลานี้"นายอานันท์ กล่าว