"มีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแพ่งตามมาตรา 11 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ" คำสั่งศาลปกครองกลาง ระบุ
คดีนี้นายอภิสิทธิ์ฟ้องว่าเมื่อปี 2531 ได้สมัครเข้ารับราชการทหารโดยได้รับบรรจุเป็นข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตร ตำแหน่งรักษาราชการอาจารย์ส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จึงได้รับยกเว้นไม่เรียกเข้ากองประจำการในยามปกติ หรือไม่ต้องเข้ารับการตรวจเลือกเป็นทหารกองเกิน แต่หลังบรรจุเป็นข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตรแล้วได้เข้ารับการฝึกทหารตามระเบียบกระทรวงกลาโหมกำหนด และได้รับพระราชทานยศร้อยตรี
ต่อมาในปี 2532 ได้ลาออกจากการรับราชการทหาร ต่อมามีผู้ร้องเรียนต่อกระทรวงกลาโหมว่า ตนเองใช้หลักฐานทางทหารไม่ถูกต้อง จึงมีการแต่งตั้งจเรทหารบกเป็นกรรมการสอบสวนแต่ไม่สามารถหาพยานหลักฐานที่ครบถ้วน และไม่ได้เรียกไปให้ปากคำ แต่ได้สรุปรายงานการสอบสอนที่ไม่เป็นธรรมว่าการบรรจุตนเองเข้ารับราชการทหารมีความบกพร่อง
และ ปลายปี 2551 ตนเองได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี มีสมาชิกพรรคเพื่อไทยร้องเรียน ป.ป.ช.และกระทรวงกลาโหม เพื่อขอให้พิจารณาถอดชั้นยศโดยประสงค์ให้พ้นสมาชิกภาพจากการเป็น ส.ส.และพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งต่อมาเมื่อพรรคเพื่อไทยได้เข้าจัดตั้งรัฐบาลก็ตั้งกรรมการสอบสวนเรื่องนี้อีกครั้ง ซึ่งในที่สุดได้มีคำสั่งปลดตนเองออกจากราชการเนื่องจากใช้เอกสารใบสำคัญ สด.9 อันเป็นเท็จ
"กรณีจึงเป็นเรื่องวินัยทหารตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ.2476 ข้อพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับวินัยทหารที่ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา 9 วรรค สอง(1) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม" ศาลปกครองกลาง ระบุ