นายณัฏฐชัย กล่าวว่า ต้องการเรียกร้อง 2 เรื่อง คือ 1.คูปองทีวีดิจิตอล เนื่องจากเกรงว่าจะสูญเสียงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์นับหมื่นล้านบาท เพราะการพิจารณาจัดสรรงบประมาณและการคำนวนตัวเลขประชากรที่จะได้รับกล่องทีวีดิจิตอลกว่า 25 ล้านครัวเรือนนั้น ทาง กสทช.มีหลักเกณฑ์การพิจารณาอย่างไร รวมถึงการพิจารณาต้นทุนราคากล่องทีวีดิจิตอลที่ กสทช.ระบุกล่องละ 1,000 บาท แต่ทางสมาคมฯ ยืนยันว่าต้นทุนที่แท้จริงของกล่องดิจิตอลราคาเพียง 690 บาทเท่านั้น
นอกจากนี้อยากเรียกร้องให้ กสทช.ตรากฎหมายควบคุมเคเบิ้ลทีวีโดยเฉพาะ เนื่องจากปัจจุบัน กสทช.ใช้กฎหมายควบคุมทีวีดิจิตอลนำมาใช้ควบคุมกลุ่มผู้ประกอบการเคเบิ้ลทีวีที่อยู่ในระบบอนาล็อก ดังนั้นควรตรากฎหมายแยกออกจากกัน รวมถึงจะต้องออกระเบียบใหม่ในการจัดสรรช่องเคเบิ้ลทีวีที่ปัจจุบันกำหนดให้มี 48 ช่อง แต่ที่ผ่านมาทางผู้ประกอบการเคเบิ้ลทีวีดำเนินการในระบบอนาล็อกที่เปิดช่องรายการได้เพียง 60-80 ช่อง จึงเหลืออีกเพียง 12 ช่อง ทางกสทช.จะดำเนินการแก้ปัญหาอย่างไร เพราะกระทบต่อธุรกิจเคเบิ้ลทีวี
ในเวลาต่อมา นายทศพร ฉิมอ่อน นายกสมาคมผู้ค้าสลากเลขท้าย ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ ผ่านศูนย์บริการประชาชนฯ เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมกรณีการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลตามที่โครงการจำหน่ายสลากด้วยเครื่องจำหน่าย ซึ่งมีการเตรียมความพร้อมมาแล้วถึง 3 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.49 เป็นต้นมา ซึ่งผู้ค้าได้ลงทุนตามข้อกำหนดของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลแล้ว จึงเรียกร้องให้เปิดการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือสลากประเภทใดก็ได้ด้วยเครื่องจำหน่ายสลาก ทั้งนี้เชื่อว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาขายสลากฯ เกินราคาและปัญหาหวยใต้ดินได้อีกทางหนึ่ง
ด้าน น.ส.พัชรินทร์ ธนะธีระพงศ์ ตัวแทนสมาคมฯ กล่าวว่า นโยบายการขายหวยตู้มีปัญหามายาวนานกว่า 10 ปี ทำให้ผู้ที่ลงทะเบียนรับและติดตั้งเครื่องจำหน่ายสลากแต่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายมาโดยตลอด ซึ่งที่ผ่านมาตนก็ได้มาร้องเรียน แต่เมื่อมีการรับเรื่องก็มีการเปลี่ยนรัฐบาลปัญหาจึงไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งอยากให้ คสช.ช่วยเหลือเพื่อให้สามารถดำเนินการได้ เพราะทุกวันนี้มีค่าใช้จ่ายจากการติดตั้งเครื่องจำหน่ายสลากถึงเดือนละ 2 หมื่นบาท