"เราอยู่ในระยะที่ 2 มาร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ เพราะการปฏิรูปไม่เคยเกิดขึ้นได้สักที วันนี้ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ ช่วง 3-4 เดือนนี้บ้านเมืองสงบมากขึ้น เราต้องดำเนินการด้านกฏหมายอย่างต่อเนื่องให้ประชาชนทุกฝ่ายมีความพอใจบ้านเมืองมีความสงบขึ้น แม้ว่ายังมีการรบกระทบกระทั้งกันบ้าง แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ต้องทำและนำปัญหาเร่งด่วนมาปรับแก้ต่อไป" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่มีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิก สปช.เป็นจำนวนมาก โดยคาดว่าน่าจะมีผู้สมัครถึง 8-9 พันคน และถือเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสรรหาแต่ละด้านที่จะคัดเลือกให้เหลือ 250 คน ภายใต้ความกดดันและความสนใจของสังคม โดยอยากให้พิจารณาว่าในแต่ละกลุ่มหากมีผู้สมัครเป็นจำนวนมากให้คำนึงว่าประชาชนให้ความสนใจเป็นพิเศษและถือว่าเรื่องนั้นเป็นปัญหาสำคัญที่ควรได้รับการแก้ไขโดยเร็ว
นายกรัฐมนตรีได้มอบแนวทางให้มีการจัดระเบียบเรื่องการปฏิรูป โดยให้เรียบลำดับความสำคัญว่า สิ่งใดจำเป็นต้องทำก่อน ทำทันที มีผลสัมฤทธิ์ และมีผลชี้วัด ซึ่งสิ่งที่ต้องทำก่อนควรจะเห็นผลได้ภายใน 3-6 เดือน และการปฏิรูปในแต่ละด้านต้องกำหนดแนวทางการป้องกันการทุจริตเอาไว้ด้วย พร้อมยืนยันว่าการคัดเลือกสมาชิก สปช.ไม่มีการล็อคสเปค หรือหวังจะคัดเลือกบุคคลตามที่ คสช.ต้องการ โดยให้คณะกรรมการสรรหาทั้ง 11 ด้าน ทำงานด้วยความละเอียดรอบคอบ โปร่งใส ท่ามกลางเวลาที่จำกัดและความสนใจของทุกฝ่าย เพื่อให้ได้บุคคลที่เหมาะสม มีคุณภาพ มุ่งมั่นและเสียสละเพื่อประเทศชาติเข้ามาทำหน้าที่สำคัญนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สิ่งที่คาดหวังจากการปฏิรูป คือต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในแต่ละด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม หรือด้านกฏหมายเพื่อทำให้ประเทศมีเสถียรภาพต่อไป
"วันนี้ประเทศไทยแทบไม่รู้อนาคต เพราะเราไม่มีเสถียรภาพ ถ้ามีเสถียรภาพจะสามารถกำหนดวิสัยทัศน์ว่าประเทศควรจะเดินได้อย่างไร" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงแนวทางการปฏิรูปการเมืองว่า การปฏิรูปการเมืองถือเป็นปัญหาสำคัญ พร้อมทั้งฝากให้ช่วยคิดว่า ควรจะสร้างระบบการปกครองอย่างไรในอนาคต ทำอย่างไรให้คนในชาติเกิดความเข้มแข็ง ให้ได้นักการเมืองที่มีคุณภาพ เพราะปัจจุบันมีทั้งคนเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย เป็นสิ่งที่ต้องมีการปฏิรูปทันที่ เพราะที่ผ่านมาคนไทยไม่เหมือนชาติใดในโลก เพราะส่วนใหญ่ชอบรับฟังความคิดเห็นแต่ไม่ยอมรับความเห็นที่แตกต่าง ซึ่งเป็นสาเหตุนำมาสู่การยึดอำนาจ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การทำการปฏิวัติเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา ไม่ได้ต้องการแย่งอำนาจจากใคร แต่เข้ามาดูแลอำนาจและวางรากฐานการเมืองการปกครองในอนาคต โดยไม่ได้มุ่งหวังผลประโยชน์ หรือต้องการเป็นใหญ่ พร้อมทั้งปฏิเสธข่าวถึงการเข้ามากุมอำนาจของทหารกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ว่า ในกองทัพไม่เป็นการแบ่งกลุ่มแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นบูรพาพยัคฆ์ หรือวงศ์เทวัญ
"ขอให้ทุกคนไว้ใจการทำงานของ คสช. และทุกอย่างก็เดินตามโรดแมพ วันนี้ต้องเลิกกันแล้วมาเดินหน้าประเทศไทย มาให้กำลังใจทำในสิ่งที่ดี ทุกคนรู้หมดมันดีตรงไหน ไม่ดีตรงไหน ทุกคนควรช่วยกันแก้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว