อีกทั้งก่อนถึงช่วงไฮซีซั่นหรือฤดูแห่งการท่องเที่ยวปีนี้จะร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ เร่งทำการประชาสัมพันธ์เรื่อง New Destination หรือ โปรโมทเมืองรอง เน้นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ให้นักท่องเที่ยวรู้จักนอกเหนือจากหัวเมืองหลัก ซึ่งมองว่าภาคเอกชนมีความพร้อมในระดับหนึ่งแล้ว โดยมีแผนจะใช้ช่องทางประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบ รวมทั้ง Social Media เบื้องต้น มีแผนจะเดินสายเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น บมจ.ท่าอากาศยานไทย(AOT) ด่านตรวจคนเข้าเมืองเพื่อปรับปรุงการบริการให้แก่นักท่องเที่ยวเกิดความประทับใจนับตั้งแต่ก้าวแรกที่ลงจากเครื่องบิน เจรจากับหน่วยงานที่เป็นเจ้าของพื้นที่ต่างๆ ที่คาดว่าจะทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ เช่น ค่ายทหาร, อุทยานแห่งชาติ, โครงการพระราชดำริต่างๆ เพื่อสร้างความรู้ และความรู้สึกที่ดีให้นักท่องเที่ยว
รมว.ท่องเที่ยว ระบุถึงการยกเลิกกฎอัยการศึกว่า เรื่องนี้นายกรัฐมนตรี และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) จะพิจารณาตามความเหมาะสม
ส่วนปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องโรงแรม บริษัททัวร์ ไกด์เถื่อน รวมทั้งเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวได้มีการพูดคุยกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น ตำรวจท่องเที่ยว สมาคมท่องเที่ยวต่างๆ ในการบูรณาการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
นอกจากนี้จะมีการหารือกับกระทรวงวัฒนธรรมในการจัดทำภาพยนตร์โฆษณาเรื่องใหม่เพื่อโปรโมทการท่องเที่ยวประเทศไทย ทั้งหมด 4 เรื่องๆละ 5 นาที
"เนื่องจากเรามีเวลาทำงานเพียงแค่ 1 ปี คงจะไม่เน้นสร้างอะไรใหม่ๆ ใหญ่ยักษ์ พวกโครงการเมกะโปรเจ็คท์คงไม่มี...แต่จะเน้นการบูรณาการทุกสิ่งที่มีอยู่แล้ว รวมทั้งงบประมาณที่ได้รับให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด" รมว.ท่องเที่ยวฯ กล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงท่องเที่ยวฯ จะเน้นการพัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใน 4 เรื่อง คือ 1.ความโปร่งใส ต้องเกิดความโปร่งใสในการทำงาน เช่น การจัดซื้อจัดจ้าง สามารถตรวจสอบได้และมีการประกาศสู่สาธารณะผ่านเว็บไซต์ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
2.ลดความซ้ำซ้อนในการทำงานให้กระชับ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำแต่เป็นเรื่องเดียวกัน เพื่อให้สามารถลดค่าใช้จ่ายและให้การใช้งบประมาณเกิดประสิทธิที่สุด บูรณาการภายในองค์และบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
3.เน้นความรวดเร็ว เน้นผลของงานมากกว่าปริมาณงาน เน้นคุณภาพของงาน
4.ต้องมี Action Plan โดยจะมีการติดตามความคืบหน้าของงานในแต่ละส่วนทุกสัปดาห์เพื่อให้เกิดผลของงานเร็วที่สุด