แต่ทั้งนี้หากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหลังจากนี้เผชิญกับปัญหาการประท้วง แก้ปัญหาไม่ได้ เลือกตั้งไม่ได้ จะทำอย่างไร นี่คือส่วนหนึ่งของเหตุผลที่มีความจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์เข้ามากำกับดูแล และหากไม่มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ(คปป.)แล้วเกิดสถานการณ์ที่ประเทศติดล็อคเดินหน้าไม่ได้ รัฐบาลไม่สามารถใช้จ่ายงบประมาณได้ ไม่ลาออกอย่างที่ผ่านมาแล้วจะทำอย่างไร นี่คือสิ่งที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญจึงต้องกำหนดกติกาขึ้นมา
"ผมไม่ได้หมายความว่าเขาจะให้รัฐบาลต้องอยู่ต่อหรือไม่อยู่ต่อ มันไม่เกี่ยวกับผม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประชามติ ผมจะไปชี้ชัดอะไรมากไม่ได้ เพราะมอบหมายความรับผิดชอบให้เขาไปแล้ว ผมมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย เดินหน้าประเทศวางพื้นฐานประเทศและคิดว่าจะปฏิรูปประเทศอย่างไรในระยะยาว ซึ่งถ้าเลือกตั้งแล้วมั่นใจว่าไม่มีปัญหาก็ทำไป แต่ถ้าไม่ไว้ใจก็รับฟังข้อเสนอมา"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พร้อมระบุว่า การสร้างความเข้มแข็งเชิงโครงสร้างให้กับประเทศต้องทำต่อในช่วงของการปฏิรูป ถ้ารัฐบาลใหม่รับรองว่าจะทำการปฏิรูปก็คงไม่มีปัญหา แต่เวลานี้ยังไม่ได้ยินใครพูดเรื่องการปฏิรูป และบางคนยังไม่รู้เลยว่าการปฏิรูปคืออะไร สื่อมวลชนต้องไปถามว่าถ้าจะอาสาสมัครมาดูแลประชาชนต้องพูดว่าจะปฏิรูปอย่างไร มีแผนหรือไม่ และสิ่งที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)ทำวันนี้ มีแผนการทั้งหมด เพียงแค่ไม่ได้เขียนกรอบระยะเวลา ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดหน้าต้องไปทำแผน ละถ้ามีคปป.ก็มีหน้าที่จะดูว่าการปฏิรูปนั้นว่าเป็นไปตามแผนหรือไม่ ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินว่าพึงพอใจหรือไม่ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีการประเมิน หากทุกอย่างเป็นไปตามโรดแมป รัฐบาลหน้าต้องมาสานงานต่อที่ได้ทำไว้ ซึ่งอยู่ที่ว่าวันนี้เราได้กำหนดกฎเกณฑ์อะไรไว้บ้าง
"แต่ก็ไม่ไว้วางใจกันทั้งผมและ คสช. ผมไม่อยากให้คำพูดว่าไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญผ่านหรือไม่ผ่านแล้ว คสช.จะได้ประโยชน์ และที่ว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญผ่านก็มี คปป.อีก ถามว่า คปป.ให้ประโยชน์ตรงไหน ผมอยากจะรู้ว่าประโยชน์ที่ว่ากันนั้นคืออะไร หากประโยชน์คืออำนาจและผลประโยชน์ ผมไม่มีผลประโยชน์ และอำนาจผมก็ไม่ได้อยากได้ แต่เมื่อประชาชนเดือดร้อน ผมจึงเข้ามา เรื่องของคปป.นั้นอำนาจไม่ได้ทับซ้อนกับรัฐบาล และไม่ได้มีอำนาจทางนิติบัญญัติ คปป.จะมีอำนาจต่อเมื่อเกิดสถานการณ์ และเข้ามาแก้ปัญหาความรุนแรง เพราะถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่ทำอะไรลงไปอาจจะติดคุกได้ เช่นเดียวกับที่ผมเข้ามาโดยต้องมีอำนาจตามกฎอัยการศึก จะได้ไม่ถูกไล่ล่า เพราะวันนี้ที่เข้ามาไม่ได้ต้องการอะไร มีเพียงกฎอัยการศึกอย่างเดียวที่จะให้ผมเข้ามาหยุดความรุนแรงและเดินหน้าประเทศได้"
"ขณะเดียวกันสื่อโจมตีว่าผมทำรัฐประหาร ขอถามว่าผมทำในสิ่งที่ดีกว่าหรือไม่ แต่ไม่ได้บอกว่าอะไรดีกว่ากัน เพราะอย่างไรเสียประชาธิปไตยต้องดีกว่าอยู่แล้ว แต่ควรจะเป็นแค่ไหน ระยะเวลาใดควรมีใครมากำกับดูแลหรือไม่ โดยไม่ทับอำนาจรัฐบาล รัฐบาลจะมีอำนาจเต็มจนกว่าจะเกิดวิกฤต ถ้าไม่เช่นนั้นใครจะมาแก้จะให้ทหารปฏิวัติอีกหรือ ตรงนี้ที่เขาทำมาคือไม่ต้องการให้มีการปฏิวัติอีก สิ่งเหล่านี้ต้องให้ประชาชนเข้าใจว่า เขาตั้งใจเขียนถึงอำนาจคปป.ไว้เช่นไร ที่ผ่านมานักการเมืองชี้นำไปเรื่อยในจุดที่เขาไม่เห็นด้วย โดยจะให้ประชาชนไม่เห็นด้วยตามไปด้วย ถ้ารัฐบาลในอนาคตสามารถทำได้ตามที่สัญญาไว้ ผมก็ไม่ได้อยากเกี่ยวข้อง เพียงแต่ห่วงว่าวันหน้าจะมีปัญหาเหมือนเดิมขึ้นมาอีกไหม ถ้าคิดว่าปัญหาไม่เกิดก็เป็นเรื่องของคน เลือกตั้งได้ก็เลือกไป แต่ถ้าไม่มั่นใจจำเป็นต้องดูแลหรือไม่" นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ขอให้สื่อที่นำเสนอเรื่องคปป.พิจารณาในหมวดอื่นๆด้วย ในทุกมาตรา รวมทั้งรู้สึกกลุ้มใจที่ผลสำรวจออกมาว่าประชาชนไม่รู้จัก สปช. และ สนช.ว่ามีหน้าที่อะไร ตรงนี้สื่อจะช่วยได้มาก อย่าเขียนแต่เรื่องเดิมๆ ที่เป็นความขัดแย้ง เช่น แต่งตั้งทหาร ตำรวจ มีพรรคมีพวก ตนเองไม่ได้ต้องการพวก มีแต่จะต้องทำงานร่วมกันให้ได้ ไม่แสวงหาผลประโยชน์ ถามว่าคนที่มีเงินหมื่นล้าน แสนล้านได้ใช้เงินกันบ้างหรือไม่
ส่วนกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ออกมาระบุว่า การปฏิรูปน้อยไปโดยเฉพาะเรื่องตำรวจนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่ต้องมีการขับเคลื่อนกันต่อให้ทำทีเดียวจะสำเร็จหรือไม่ เราไม่สามารถทำได้ในระยะเวลาสั้น ถ้าบ้านเมืองสงบก็ทำได้เร็ว ทุกอย่างต้องเริ่มที่วุฒิภาวะของคนก็ต้องเริ่มที่การศึกษา