ประธานรัฐสภา กล่าวว่า ส่วนการแต่งตั้งให้นายนัฑ ผาสุข ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ไปทำหน้าที่เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแทนในตอนแรกนั้นเป็นข้อเสนอของตนเองที่แจ้งให้กับ คสช.เพราะต้องการหาคนมาทำงานให้ลุล่วง โดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องการย้ายบุคลากรข้ามหน่วยงาน แต่เมื่อมีปฏิกิริยาที่ค่อนข้างรุนแรง ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.เป็นห่วงและได้ปรึกษากับตนเอง จึงเห็นว่าควรให้นายนัฑกลับไปดำรงตำแหน่งเดิมในสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ขณะที่ตำแหน่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่ว่างอยู่นั้นตนเองได้ลงนามตั้งรองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่มีอาวุโสสูงสุดรักษาราชการแทนไปก่อน ส่วนบุคคลใดจะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาฯ ถาวรต้องใช้เวลาพิจารณาให้รอบคอบอีกครั้งโดยใช้กระบวนการพิจารณาตามปกติ
สำหรับรองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่จะมารักษาราชการแทน คือ นางจันทร์เพ็ญ อานามวัฒน์ รองเลขาธิการสภาฯ ที่อาวุโสสูงสุด
ประธานรัฐสภา กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาล่าช้าว่า ตนเองไม่อยากให้มีการฟ้องร้องใดๆ เกิดขึ้น แต่หากถึงขั้นตอนฟ้องร้อง หรือการทิ้งงาน รอให้ประมูลใหม่จะเกิดความเสียหายอย่างมาก ทั้งงบประมาณ และระยะการปฏิบัติงาน ดังนั้นการแก้ปัญหาต้องใช้เทคนิค และวิธีการพิเศษที่ต้องดำเนินการให้ได้ แม้จะเป็นงานที่หนัก
อย่างไรก็ตามประเด็นการก่อสร้างที่ล่าช้ามีข้อร้องเรียนมาจาก บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น(STEC) ว่ามาจากความผิดของเจ้าหน้ารัฐสภาที่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ โดยไม่ระบุชื่อชัดเจน เช่น การส่งมอบที่ดินโรงเรียนโยธินบูรณะล่าช้าราว 4 เดือน เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐสภาโอนเงินเข้าบัญชีผิด ซึ่งไม่ใช่โรงเรียนโยธินบูรณะ ทำให้โรงเรียนโยธินบูรณะไมได้รับเงิน เพื่อก่อสร้างหรือปรับปรุงอาคารใหม่ ตนเองจึงต้องตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยแต่งตั้งนางวรารัตน์ อติแพทย์ เลขาธิการวุฒิสภา เป็นประธานกรรมการสอบสวน