โดยศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำของนายทักษิณปรากฏให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่ามีความเชื่อทางไสยศาสตร์จากการตั้งศาลพระภูมิใหม่ในทำเนียบรัฐบาล และทำพิธีพราหมณ์ต่างๆ ดังนั้นนายสนธิจึงมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์แสดงความคิดเห็นต่อบุคคลสาธารณะของประเทศได้ และเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ไม่ใช่การหมิ่นประมาท ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องนายสนธิ
คดีนี้สืบเนื่องจากนายทักษิณได้ยื่นฟ้องนายสนธิและนายขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา จากกรณีเมื่อเดือน มี.ค.49 นายสนธิได้กล่าวปราศรัยบนเวทีกลุ่มพันธมิตรฯ ในทำนองว่านายทักษิณใช้เงินซื้อใจประชาชน และสร้างภาพให้ลูกน้องไปเผาเวทีของพันธมิตรกู้ชาติที่จังหวัดภูเก็ต อีกทั้งนายทักษิณยังเป็นนายกรัฐมนตรีที่หมกมุ่นเรื่องไสยศาสตร์
ก่อนหน้านี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกนายสนธิ 3 ปี และจำคุกนายขุนทอง 2 ปี ปรับ 4 หมื่นบาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เหลือจำคุกนายสนธิ 1 ปี กรณีกล่าวหานายทักษิณหมกมุ่นไสยศาสตร์คดีเดียว โดยให้รอลงอาญา 2 ปี และปรับ 2 หมื่นบาท และยกฟ้องนายขุนทอง ซึ่งนายสนธิได้ยื่นฎีกาในเวลาต่อมา
หลังฟังคำพิพากษาแล้ว นายสนธิ ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่เคยติดใจสงสัยในกระบวนการยุติธรรมใดๆ และเห็นด้วยกรณีที่นายธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี ทำจดหมายส่วนตัวถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เสนอว่า ไม่ควรเปิดโอกาสให้นักการเมืองที่เคยกระทำความผิดในตำแหน่งหน้าที่กลับมาดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะอาจจะทำให้เกิดการทุจริตขึ้นอีก เพราะเห็นว่านักการเมืองเป็นตัวการทำลายชาติ แต่ถ้า คสช.ยังยึดติดกับการเลือกตั้งเหมือนต่างประเทศที่เอาคนบางกลุ่มกลับมาเล่นการเมืองอีกจะทำให้เกิดกระบวนการบ่อนทำลายชาติ กลายเป็นระบบที่มีทุนอยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองและกองทัพ