คดีนี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด, นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) และนายขุนทอง ลอเสรีวานิช บก.ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทกรณีกล่าวหาว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ขณะเป็น รมว.คลัง ในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ช่วยล้างมลทินให้กลุ่มอำนาจเก่า ปล่อยให้มีการออกสลากบนดิน 2 ตัว 3 ตัวขัดต่อกฎหมาย และปกป้องผู้กระทำผิดกรณีปล่อยให้มีการโอนหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยไม่เสียภาษี
โดยเมื่อวันที่ 10 ก.ย.52 ศาลชั้นต้นมีพิพากษาว่า จำเลยที่ 1, 2, 4 กระทำผิดฐานหมิ่นประมาท โดยจำเลยที่ 2 ได้ชี้นำโน้มน้าวให้ประชาชนผู้ฟังเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนชั่วมีพฤติการณ์บริหารงานต่างๆ เพื่อประโยชน์ของตนและพวกพ้อง เป็นการกล่าวพาดพิงโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย ขณะที่จำเลยเคยรับโทษในคดีลักษณะนี้มาแล้ว เห็นควรให้จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 1 ให้ปรับ 200,000 บาท และให้จำคุกจำเลยที่ 4 เป็นเวลา 1 ปี ปรับ 30,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา พร้อมทั้งให้ลงโฆษณาคำพิพากษาใน นสพ.ไทยรัฐ, เดลินิวส์, มติชน, ผู้จัดการรายวัน เป็นเวลา 5 วัน ต่อมาจำเลยที่ 1, 2 และ 4 ได้ยื่นอุทธรณ์
และศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 4 พ.ย.56 ว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการใส่ร้ายให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท แต่ศาลเห็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนามุ่งร้ายกับโจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 2 พูดเกี่ยวกับประเด็นสาธารณะและผลประโยชน์ของส่วนรวม ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 2 ปีนั้นเห็นว่ารุนแรงเกินไป จึงเห็นควรลงโทษในสถานเบาและแก้โทษให้เหมาะสมเป็นจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 1 ปี และปรับเงิน 3 หมื่นบาท ทั้งนี้จำเลยเป็นสื่อมวลชน ซึ่งมีความสำคัญในการตรวจสอบ ท้วงติงการทำงานของรัฐบาลและทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม จึงเห็นควรสนับสนุนให้จำเลยที่ 2 ได้ทำหน้าที่สื่อมวลชนอย่างเข้มแข็งต่อไป โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 1 เห็นว่าร่วมกับจำเลยที่ 2 โดยการบันทึกถ้อยคำที่กล่าวหมิ่นประมาทโจทก์ลงในวีซีดีออกเผยแพร่ ลงโทษปรับเงินจำนวน 1 แสนบาท ขณะที่จำเลยที่ 4 นั้นเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นลงโทษมานั้นถือว่าเหมาะสมแล้ว และให้ลงโฆษณาเฉพาะในหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ และสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี