คดีนี้มีกรมการปกครองเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมศักดิ์ เป็นจำเลยที่ 1, นายคมสัน ทองศิริ เป็นจำเลยที่ 2 และนายสาวิทย์ แก้วหวาน เป็นจำเลยที่ 3 ฐานละเมิด
หลังศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์มีทั้งพยานบุคคลและภาพถ่ายยืนยันได้ว่าจำเลยทั้งสามเป็นผู้นำกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปปิดล้อมพื้นที่ของโจทก์ ซึ่งจำเลยทั้งสามอ้างว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองในการต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และไม่วางใจการบริหารราชการของรัฐบาลที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญนั้น ศาลเห็นว่าไม่มีเหตุใดที่ยกเว้นความรับผิดของจำเลยทั้งสามหรือผู้ชุมนุมหากมีการกระทำอันเป็นการละเมิดต่อกฎหมายขณะชุมนุม การที่จำเลยทั้งสามนำผู้ชุมนุมเข้าไปในพื้นที่ของโจทก์เป็นเวลานานกว่า 5 เดือน ทำให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของโจทก์ไม่สามารถเข้าไปทำงานได้ตามปกติต้องไปทำงานที่ทำการชั่วคราวจึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย ได้แก่ ค่าอุปกรณ์สำนักงานเพื่อปฏิบัติงานที่ที่ทำการชั่วคราว 101,000 บาท, ค่าจ้างเหมารถตู้เพื่อรับส่งข้าราชการและเจ้าหน้าที่ไปที่ทำการชั่วคราว 50,000 บาท, ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างปฏิบัติงานที่ที่ทำการชั่วคราว 4,000 บาท ค่าทรัพย์สินอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของราชการที่สูญหายจากการกระทำของกลุ่มผุ้ชุมนุม 791,000 บาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 946,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ส่วนอาวุธปืนของโจทก์ที่อ้างว่าสูญหายนั้นไม่มีพยานหลักฐานฟังได้ว่าอาวุธปืนโจทก์สูญหายไปจริง จำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิดส่วนนี้