นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้เตรียมมาตรการในการจัดทำระบบภาษีในอนาคต โดยมีแนวคิดว่าจะต้องให้เอสเอ็มอีเข้าสู่ระบบภาษีทั้งหมด ซึ่งมีอยู่ราว 3 ล้านราย ซึ่งรัฐบาลจะสร้างแรงจูงใจให้เข้าสู่ระบบภาษีและทำให้เกิดการเสียภาษีให้ถูกต้อง เพราะจะช่วยในเรื่องการสร้างความเท่าเทียม และลดความเหลื่อมล้ำ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในอนาคตจะต้องมีการพัฒนาบุคลากร ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องการศึกษา โดยขอความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในการปรับหลักสูตรการศึกษา เพื่อเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาประเทศ ให้สามารถรองรับการเข้าสู่อุตสาหกรรมในแต่ละคลัสเตอร์ที่รัฐบาลกำหนดไว้ และเน้นสร้างบุคลากรที่มีวิสัยทัศน์และมีความสามารถ เพื่อต่อยอดไปพัฒนาประเทศต่อไป รวมถึงเน้นเรื่องของการวิจัยและพัฒนาที่รัฐบาลส่งเสริมห้างร้านต่างๆ ในการขยายกิจการไปยังต่างประเทศ ทั้งการส่งเสริมด้านบุคคลและสถานประกอบการที่มีศักยภาพ
ขณะที่การแก้ไขปัญหาเรื่องการบริหารจัดการน้ำนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การทำงานของรัฐบาลได้มีการนำโครงการของรัฐบาลก่อนมาเทียบเคียง ซึ่งก็มีความแตกต่างกัน เพราะรัฐบาลนี้เน้นการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ ดูแลไม่ให้เกิดการขาดแคลนน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภค และบริหารจัดการน้ำในการเกษตรให้เพียงพอ
สำหรับข้อกังวลว่าจะเกิดปัญหาภัยแล้งอย่างหนักในปีหน้านั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการติดตามข้อมูลและประเมินยังมีปริมาณน้ำเพียงพอจนถึงเดือนกรกฎาคมปีหน้า ทั้งน้ำในการทำการเกษตร น้ำประปา และน้ำที่ใช้ผลักดันน้ำเค็ม ทั้งนี้คงจะไม่สามารถห้ามให้เกษตรกรเลิกทำนาได้ แต่จะใช้วิธีการรูปแบบใหม่ให้เกษตรกรไปดูต้นน้ำที่ต้องใช้ในการทำการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรเข้าใจถึงปัญหาที่แท้จริง
ส่วนการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบได้สั่งการให้ไปพิจารณาตั้งแต่ระดับตำบล อำเภอ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องบูรณาการทำงานร่วมกัน
อย่างไรก็ตามปริมาณน้ำที่ทำการเกษตรอยู่ในขณะนี้มีปริมาณน้ำเพียงพอในการใช้ทำการเกษตร เพียงแต่จะต้องจัดหาระบบการพร่องน้ำ นำส่งแต่ละพื้นที่ให้มีความเหมาะสม รวมถึงส่งเสริมให้มีการปลุกพืชทดแทนและพืชใช้น้ำน้อย ซึ่งรัฐบาลคงไม่สามารถออกเป็นมาตรการประหยัดน้ำให้ประชาชนปฏิบัติตามได้ แต่ต้องอาศัยจิตสำนึกของประชาชนทุกคน