สำหรับจำเลยที่อัยการสูงสูงยื่นฟ้องเพิ่มเติมทั้ง 7 ราย ได้แก่ 1.ห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงสีกิจทวียโสธร โดยนายทวี อาจสมรรถ หุ้นส่วนผู้จัดการ 2.นายทวี อาจสมรรถ 3.บริษัท กิจทวียโสธรไรซ์ โดยนายทวี อาจสมรรถ กรรมการ 4.บริษัท เค.เอ็ม.ซี.อินเตอร์ไรซ์(2002) จำกัด โดยนายปกรณ์ ลีศิริกุล กรรมการ 5.นายปกรณ์ ลีศิริกุล 6.บริษัท เจียเม้ง จำกัด โดยนางประพิศ มานะธัญญา กรรมการ และ 7.นางประพิศ มานะธัญญา
ก่อนหน้านี้อัยการสูงสุดได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์, นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ กับพวกรวม 21 ราย เป็นจำเลยต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไปแล้ว ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ อม.25/2558 ในความผิดฐานกระทำผิดฮั้วประมูล ใช้อำนาจโดยทุจริตสร้างความเสียหายแก่รัฐ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และว่าด้วยความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 กรณีทุจริตโครงการระบายข้าวแบบจีทูจี
นายชุติชัย กล่าวว่า หลังจากยื่นฟ้องจำเลยเพิ่มเติมในคดีนี้ รวมทั้งคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถือว่าครบวงจรการทุจริตที่ทำให้เกิดการเสียหายแก่รัฐตั้งแต่ต้น คือ ตั้งแต่ขั้นตอนรับข้าว จ่ายเงิน และดำเนินการ โดยที่ข้าวไม่ได้มีการส่งไปต่างประเทศ แต่หมุนเวียนอยู่ภายในประเทศ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง โดยเป็นการขยายผลจากหลักฐานที่มีอยู่ให้เห็นถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตทั้งหมด
ด้านนายกิตินันท์ ธัชประมุข รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน กล่าวว่า หลังจากนี้ต้องรอดูว่าศาลฎีกาฯ จะมีคำสั่งว่ารับหรือไม่รับพิจารณา ในวันที่ 25 ก.พ.59 เวลา 10.00 น. ซึ่งหากมีคำสั่งรับไว้พิจารณา หลังจากวันที่ 25 ก.พ.สำนักงานอัยการสูงสุดก็จะส่งหมายเรียกเพื่อให้จำเลยรับทราบ และในการพิจารณาคดีครั้งแรกของศาลฎีกาฯ จำเลยทุกคนต้องมา นอกจากจำเลยทั้ง 7 รายที่อัยการยื่นฟ้องเพิ่มเติมในคดีนี้แล้วยังมีอีก 7 รายที่เป็นคนจีน ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ยื่นฟ้อง เพราะกำลังอยู่ในขั้นตอนการแปลเอกสาร เพื่อส่งไปยังรัฐบาลจีนเพื่อขอความร่วมมือให้ส่งตัวมาดำเนินการต่อไป