โฆษกกรธ. คุมเข้มส.ส.โยกงบ ตัดสิทธิตลอดชีวิต-เคาะห้าม"นายกฯ"อยู่ในตำแหน่งเกิน 8 ปี

ข่าวการเมือง Friday January 15, 2016 16:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) กล่าวว่า การพิจารณาเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญในหมวด 7 ว่าด้วยรัฐสภา และหมวด 8 ว่าด้วยคณะรัฐมนตรี มีสาระสำคัญ คือ การพิจารณาเกี่ยวกับการจ่ายเงินแผ่นดิน กรธ.ได้เห็นชอบหลักการโดยให้รัฐบาลใช้จ่ายเงินแผ่นดินไปตามกฎหมายงบประมาณรายจ่าย กฎหมายวิธีการงบประมาณ กฎหมายโอนงบประมาณและกฎหมายเงินคงคลังเป็นหลัก โดยกรณีนี้เป็นการอุดช่องว่างเพื่อป้องกันการใช้จ่ายเงินแผ่นดินไปในทางที่เสียหายต่อประเทศ โดยการพิจารณาการเงินของแผ่นดินต้องมีการกำหนดแบบแผนปฏิบัติที่ชัดเจน

ขณะที่การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ กรธ.เล็งเห็นความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาการแปรญัตติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อป้องกันไม่ให้ ส.ส., ส.ว., กรรมาธิการ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาใช้จ่ายเงินงบประมาณ แปรญัตติเพื่อเปิดโอกาสให้ ส.ส., ส.ว.มีส่วนในการกำหนดโครงการหรือให้ความเห็นชอบต่อการใช้จ่ายเงินงบประมาณ เพราะการให้ ส.ส., ส.ว.แปรญัตติเพื่อให้ตัวเองมีส่วนต่อการกำหนดการใช้จ่ายงบประมาณหรือกำหนดโครงการที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากนักการเมืองเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ดังนั้น กรธ.จึงกำหนดว่าหากบุคคลใดก็ตาม รวมทั้งคณะรัฐมนตรี(ครม.) รู้เห็นเป็นใจต่อการแปรญัตติเพื่อให้นักการเมือง ส.ส., ส.ว.มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการใช้จ่ายเงินงบประมาณ บุคคลเหล่านั้นจะต้องพ้นจากตำแหน่งและต้องถูกเรียกให้ชดใช้เงินที่ได้มีการนำไปใช้ในโครงการต่างๆด้วย

"ถือเป็นเรื่องใหม่และเป็นยาแรง เป็นการป้องกันการครอบงำการใช้จ่ายงบประมาณของ ส.ส. และ ส.ว.ด้วยกันเอง และให้รัฐสภาตรวจสอบสมาชิกรัฐสภาด้วยการเข้าชื่อร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตรวจสอบหากพบว่า มี ส.ส.หรือ ส.ว. คนใดกระทำผิดก็จะตัดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต เช่นเดียวกัน ครม.ก็จะถูกตัดสิทธิลงสมัครเลือกตั้งด้วยและอาจทำให้พ้นทั้ง ครม.หรืออาจเฉพาะตัวบุคคล ที่ผ่านมาช่องว่างตรงนี้เป็นช่องว่างที่ใหญ่มากของการนำงบประมาณของประเทศไปใช้โดยไม่คำนึงถึงแบบแผนที่รัฐบาลวางไว้" นายอุดม กล่าว

โฆษก กรธ. กล่าวว่า ส่วนการตรวจสอบร่าง พ.ร.บ. ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ปกติที่ผ่านมาร่าง พ.ร.บ.ที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาจะมีปัญหาการขอให้มีการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ดังนั้น กรธ.จึงกำหนดให้นายกรัฐมนตรีรอเวลาในการนำร่างขึ้นทูลเกล้าฯ ไว้เป็นระยะเวลา 5 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้ ส.ส.-ส.ว.ได้มีโอกาสทักท้วงกรณีที่เห็นว่าร่าง พ.ร.บ.นั้นมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

สำหรับการตรวจสอบฝ่ายบริหาร กรณีที่ ส.ส.ฝ่ายค้านมีจำนวนไม่ถึง 1 ใน 5 ในการยื่นญัตติเพื่อขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ทาง กรธ.ได้เปิดช่องให้มีการขอเปิดอภิปรายได้โดยไม่มีการลงมติไม่ไว้วางใจ แต่เป็นการยื่นอภิปรายเพื่อให้ ครม.หรือนายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงข้อเท็จจริงและชี้แจงปัญหา เช่นเดียวกัน ส.ว.ก็มีสิทธิยื่นเปิดอภิปรายเพื่อให้ ครม.ชี้แจงได้เช่นกัน นอกจากนี้หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านสามารถของสภาผู้แทนราษฎรสามารถยื่นขอให้เปิดประชุมรัฐสภานัดพิเศษเพื่ออภิปรายกรณีปัญหาความมั่นคง ปลอดภัยของประเทศ เพื่อหารือแก้ไขปัญหาร่วมกันของรัฐสภาและ ครม.ด้วย

โฆษก กรธ. กล่าวว่า ส่วนการพิจารณาบทบัญญัติในหมวดคณะรัฐมนตรี(ครม.) กรธ.กำหนดองค์ประกอบของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจำนวนไม่เกิน 35 คน โดยนายกฯ จะต้องเป็นบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมืองในช่วงการเลือกตั้งและจะต้องเป็นรายชื่อของพรรคการเมืองที่มี ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 และบุคคลที่จะได้รับเลือกเป็นนายกฯได้นั้นจะต้องได้เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.ทั้งหมด ซึ่งนายกฯจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 8 ปีมิได้ ขณะที่คุณสมบัติของนายกฯและ ครม.นั้น หลักการจะมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับ ส.ส. แต่จะต้องเป็นบุคคลที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี และจบการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี และหากเป็นบุคคลที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขาดคุณสมบัติจากกรณีที่ไม่เกี่ยวกับการทุจริต การเลือกตั้ง หรือความประพฤติที่ไม่เหมาะสม ต้องเว้นวรรคการเป็นรัฐมนตรีเป็นระยะเวลา 2 ปี ส่วนการกำหนดนโยบายของ ครม.จะต้องมีความสอดคล้องกับบทบัญญัติในหมวดหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบายแห่งรัฐ ยุทธศาสตร์ชาติและสถานะทางการเงินการคลังของรัฐด้วย

สำหรับประเด็นการทำหนังสือสัญญาระหว่างองค์การระหว่างประเทศ หรือมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ที่กำหนดให้รัฐสภาเป็นผู้ให้ความเห็นชอบประเด็นสำคัญโดยเฉพาะเขตอำนาจอธิปไตย ผลประโยชน์ที่กระทบต่อชาติ ทาง กรธ.เห็นสมควรมี พ.ร.บ.กำหนดหลักเกณฑ์ขอบเขตของสัญญาเหล่านี้เพื่อให้การปฏิบัติเกี่ยวกับการให้ความเห็นชอบหนังสือสัญญาที่ฝ่ายบริหารไปตกลงกับต่างประเทศต้องนำมาเสนอให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบกรณีใดบ้าง

สำหรับช่วงรอยต่อหากมีเหตุส่งผลให้หลังการเลือกตั้ง พรรคการเมืองกีดกันเองจนไม่สามารถเลือกนายกฯที่ได้เสียงข้างมากได้ จะทำให้รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รักษาการไปตลอดหรือไม่ และ ครม.ของ พล.อ.ประยุทธ์ จะเปลี่ยนเป็นรัฐบาลรักษาการทันทีที่มีการเลือกตั้งหรือไม่นั้น นายอุดม กล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านระหว่างรัฐบาลปัจจุบันกับรัฐบาลหลังการเลือกตั้งต้องจะเขียนไว้ในบทเฉพาะกาล ส่วนข้อกังวลว่าเลือกกันไปเท่าใดก็ไม่ได้นายกฯเสียงข้างมากนั้น หากสภาฯเปิดได้แต่ยังเลือกนายกฯไม่ได้ คนที่รักษาการก็คงต้องรักษาการต่อไป แต่ขณะนี้ กรธ.ยังไม่ได้มีการเขียนบทเฉพาะกาลเลย ส่วนจะเขียนออกมาอย่างไรนั้นคงต้องรอดูอีกครั้ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ