ทั้งนี้ ยืนยันว่ารัฐบาลมีเจตนาอันบริสุทธิ์ที่จะเข้ามาทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น และปฎิรูปประเทศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ จึงพร้อมที่จะร่วมมือกับภาคเอกชน รวมถึงตลาดหลักทรัพย์และตลาดทุนในการร่วมกันสร้างขีดความสามารถด้านการแข่งขันให้กับประเทศ โดยเน้นการใช้งบประมาณและทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงการพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีคุณภาพ ซึ่งเชื่อว่าทุกคนไม่อยากเห็นประเทศเกิดความขัดแย้งหรือไม่มีการพัฒนา ดังนั้นถึงเวลาที่ต้องพัฒนาตัวเองให้เกิดความเชื่อมั่นจากต่างชาติ ซึ่งต้องเริ่มที่การปฎิรูปตนเองก่อน และต้องการให้ทุกภูมิภาคของไทยเกิดความเข้มแข็งมีความเจริญเท่าเทียมกัน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ต้องเน้นสร้างความเข้าใจกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจนทำให้เกิดความขัดแย้ง และต้องสร้างความร่วมมือในลักษณะประชารัฐ ยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน และย้ำว่ารัฐบาลกำลังแก้ปัญหาและสร้างการพัฒนาทุกด้าน ทั้งการวางแนวทางพัฒนาทรัพยากรบุคล การออกกฎหมายที่มีความจำเป็น เดินหน้าโครงสร้างพื้นฐาน ยกระดับภาคการเกษตร แก้ปัญหาการทุจริตคอรัปชันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี 2560 รวมถึงการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น การทำประมงผิดหมาย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม คือการไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ ขณะที่การทำงานของรัฐบาลก็ต้องพบกับปัญหาที่ทับซ้อนเชื่อมโยงกัน ซึ่งยากต่อการแก้ไข
โดยในช่วงหนึ่งของการให้โอวาท นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการที่สื่อหนังสือพิมพ์ที่เขียนระบุว่าจะปลด พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ออกจากตำแหน่ง รมว.เกษตรและสหกรณ์ โดยยืนยันว่าไม่เป็นความจริง แต่ในทางตรงกันข้ามจะเพิ่มขั้นให้อีก เพราะทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย
"มีข่าวว่าผมจะปลดรัฐมนตรีเกษตรฯ ผมจะให้สองขั้นด้วยซ้ำ เพราะทุกคนเหนื่อย มีปัญหาทับซ้อนกันมากมาย" นายกรัฐมนตรี กล่าว
พร้อมระบุว่า ในสัปดาห์หน้าจะมีการจัดแสดงผลงานเกี่ยวกับงานวิจัยเรื่องของยางพารา ซึ่งอยากให้นำผลการวิจัยไปสู่การปฏิบัติเพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์
นายกรัฐมนตรี ฝากว่าในอนาคตทุกคนต้องกำหนดอนาคตประเทศ ต้องออกมาใช้สิทธิเลือกคนที่ดีเข้ามาเป็นรัฐบาลเพื่อบริหารประเทศ พร้อมมองว่าหากยุติการทำหน้าที่ของรัฐบาลในวันนี้และนำไปสู่การเลือกตั้งในทันทีถือว่าเป็นเรื่องที่อันตราย ซึ่งรัฐบาลพยายามวางกลไกไม่ให้กลับไปสู่ปัญหาเช่นเดิมอีก ดังนั้นจึงต้องขึ้นอยู่กับทุกคน ขณะที่การปรองดองต้องเริ่มที่ตนเอง และทุกอย่างต้องเริ่มที่กระบวนการทางกฎหมาย สังคมต้องช่วยกัน ซึ่งวันนี้รัฐบาลกำลังเดินตามโรดแมป ในระยะที่ 1 ต่อไปจะต้องมีการบูรณาการร่วมกัน เพื่อวางแผนจัดทำงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวถึงคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้ปลดกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ว่า ต้องขอโทษ สสส.ด้วย แต่ยืนยันไม่ต้องการไปทำร้าย สสส. สิ่งที่กำลังทำคือต้องการให้การทำงานเดินหน้า ซึ่งวันจันทร์หน้า(18 ม.ค.) จะออกคำสั่งให้คณะกรรมการ หรือ บอร์ด สสส.ที่เหลือสามารถทำงานได้ รวมไปถึงการพิจารณาอนุมัติงบประมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
พร้อมย้ำว่า ในคำสั่ง หัวหน้า คสช. ดังกล่าวไม่มีการระบุว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น เพียงแต่ต้องการให้มีการตรวจสอบเพื่อให้การใช้งบประมาณดำเนินการอย่างถูกต้อง และดำเนินโครงการต่างๆ ให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์
นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเหตุระเบิดในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย โดยระบุว่า ยังไม่มีรายงานข่าวว่ากลุ่มไอเอสเข้ามาเคลื่อนไหวในไทย หลังเกิดเหตุระเบิดที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนิเซีย และรัฐบาลไม่ได้ปิดบังข้อมูลแต่อย่างใด เพียงแต่ไม่ต้องการให้นำมาเชื่อมโยงกัน ซึ่งทุกฝ่ายต้องไม่นำประเทศไทยเข้าไปอยู่ในความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ
ขณะที่ทางการก็จะติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ซึ่งจะมีมาตรการในการตรวจสอบบุคคลเข้าออกเพิ่ม เช่น ติดตั้งเครื่องตรวจสอบใบหน้า และที่สำคัญคือทุกคนต้องช่วยกันเฝ้าระวัง แต่ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก และต้องร่วมมือกันในการดูแลความปลอดภัยและรักษาความมั่นคงของประเทศ
ส่วนเรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า อยู่ในกระบวนการกลั่นกรอง