"การดำเนินการเพื่อเพิ่มค่าดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน ไม่ใช่แค่เพียงการลดปัญหาการทุจริตเท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วนในสังคมที่ต้องรวมพลังสร้างสังคมที่ดี นอกจากนี้จากการศึกษาพบว่าช่วงระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคมของทุกปี จะเป็นช่วงเวลาของการเก็บข้อมูลของเกือบทุกแหล่งข้อมูลข้างต้น องค์กรอิสระ รัฐบาล หน่วยงานภาครัฐและทุกภาคส่วน จึงควรเร่งสร้างภาพลักษณ์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจในช่วงเวลานี้ไปพร้อมกัน รวมถึงการเผยแพร่เกี่ยวกับ พรบ.อำนวยความสะดวก มีการบังคับใช้อย่างเป็นรูปธรรม และมีการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสทุกหน่วยงานภาครัฐ โดยให้ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนกับประชาชน นักลงทุน หน่วยงาน/องค์กร สื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ จะมีส่วนช่วยเพิ่มค่าคะแนน CPI ในปี 2559 ต่อไป และที่สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือทุกภาคส่วนร่วมกันสร้างสังคมที่ดีอย่างต่อเนื่องยั่งยืนทุกช่วงทุกเวลา" นายสรรเสริญ กล่าว
สำหรับการให้ค่าคะแนนขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติเป็นข้อมูลมาจาก 8 แหล่ง แยกเป็น ข้อมูลที่ประเทศไทยได้คะแนนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมี 3 แหล่ง คือ 1. International Institute Management Development (IMD) : World Competitiveness Yearbook ได้ 38 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5 คะแนน โดย IMD นำข้อมูลสถิติทุติยภูมิและผลการสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับสูงไปประมวลผลจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยและพิจารณาจาก 4 องค์ประกอบ คือ 1.สมรรถนะทางเศรษฐกิจ 2.ประสิทธิภาพของภาครัฐ 3.ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ 4.โครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ IMD จะสำรวจข้อมูลประมาณเดือนมกราคม-เมษายนของทุกปี และในช่วงเวลาดังกล่าวของปี 2558 ประเทศไทยมีการปรับตัวดีขึ้นใน 4 องค์ประกอบข้างต้น
2. World Economic Forum (WEF) : Executive Opinion Servey ได้ 43 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4 คะแนน โดย WEF สำรวจมุมมองของนักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเกี่ยวกับปัจจัยที่เป็นอุปสรรคสูงสุดในการทำธุรกิจ 5 ด้าน คือ 1.การคอร์รัปชัน 2.ความไม่มั่นคงของรัฐบาล/ปฏิวัติ 3.ความไม่แน่นอนด้านนโยบาย 4.ระบบราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพ 5.โครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคที่ไม่เพียงพอว่าแต่ละปัจจัยเป็นอุปสรรคเพิ่มขึ้นหรือลดลง ซึ่งผลสำรวจในปี 2558 WEF รายงานว่าปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจ 5 ด้านดังกล่าว ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคลดลงสูงที่สุดเมื่อเทียบกับปี 2557 คือการคอร์รัปชัน โดยปี 2557 ระดับของอุปสรรคตัวนี้อยู่ที่ร้อยละ 21.4 แต่ในปี 2558 อุปสรรคตัวนี้เหลือเพียงร้อยละ 12.5 และอุปสรรคด้านความไม่มั่นคงของรัฐบาลลดลงเช่นกัน จากที่มองว่าเป็นอุปสรรคร้อยละ 21 ในปี 2557 เหลือร้อยละ 18.1 ในปี 2558 รวมทั้ง อุปสรรคระบบราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพลดลงเล็กน้อย โดยมองว่าเป็นอุปสรรคร้อยละ 12.7 ในปี 2557 เหลือร้อยละ 12.3 ในปี 2558 ดังนั้นการที่นักธุรกิจมองว่า ปัจจัยเชิงลบที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในประเทศไทยลดน้อยลง จึงน่าจะเป็นเหตุผลให้ค่าคะแนน WEF เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ WEF จะสำรวจข้อมูลประมาณเดือนมกราคม-มิถุนายนของทุกปี
และ 3. Political and Economic Risk Consultancy (PERC) ได้ 42 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7 คะแนน โดย PERC สำรวจนักธุรกิจในท้องถิ่นและนักธุรกิจชาวต่างชาติในแต่ละประเทศ เพื่อให้คะแนนเกี่ยวกับระดับปัญหาการทุจริตในประเทศที่เข้าไปทำงานหรือประกอบธุรกิจ ว่าลดลง เพิ่มขึ้น หรือเท่าเดิม เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ดังนั้น ค่าคะแนนที่เพิ่มขึ้น น่าจะมาจากผลการสำรวจกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว เห็นว่าปัญหาการทุจริตลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นได้ว่าช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา องค์กรอิสระ รัฐบาล หน่วยงาน ของรัฐ และทุกภาคส่วน ได้แสดงเจตจำนง มีการบูรณาการและดำเนินการจัดการกับปัญหาการทุจริตอย่างเป็นรูปธรรมในวงกว้างขึ้น ทั้งนี้ PERC จะสำรวจข้อมูลประมาณเดือนมกราคม-มีนาคมของทุกปี
ขณะที่มีข้อมูลที่ประเทศไทยได้คะแนนเท่ากับปีก่อนมี 4 แหล่ง คือ 1. Bertelsmann Foundation Transformation Index (BF-BTI) ได้ 40 คะแนนเท่าปีก่อน โดย BF-BTI ใช้ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์และประเมินกระบวนการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี และดูความเปลี่ยนแปลง 3 ด้าน คือ 1.ด้านการเมือง 2.ด้านเศรษฐกิจ 3.ด้านการจัดการของรัฐบาล ทั้งนี้ BF-BTI จะมีการวิเคราะห์ประเมินและเผยแพร่ผลทุก 2 ปี และข้อมูลที่เผยแพร่ครั้งล่าสุดคือ ปี 2557 ดังนั้นคะแนนปีนี้จึงอาจใช้ข้อมูลจากฐานเดิมปี 2557 และครั้งต่อไปที่จะเผยแพร่ผล คือปี 2559
2.International Country Risk Guide (ICRG) : Political Risk services ได้ 31 คะแนนเท่าปีก่อน โดย ICRG เป็นองค์กรแสวงหากำไร ให้บริการวิเคราะห์วิจัยและจัดอันดับสภาวะความเสี่ยงระดับประเทศ ประเมินความเสี่ยงด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ และด้านการเงิน ซึ่งองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ใช้ข้อมูลรายงานความเสี่ยงด้านการเมือง มาประกอบการพิจารณาให้ค่าคะแนน ทั้งนี้ การคอร์รัปชันเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงด้านการเมือง ICRG มุ่งประเมินการคอร์รัปชันในระบบการเมือง โดยเฉพาะรูปแบบทุจริตที่นักธุรกิจมีประสบการณ์ตรงและพบมากที่สุด นั่นคือการเรียกรับสินบน การเรียกรับเงินเพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้า/ส่งออก การประเมินภาษี รวมถึงระบบอุปถัมภ์ ความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางธุรกิจกับการเมือง ทั้งนี้ ICRG มีการประเมินและเผยแพร่ผลทุก 1 ปี ครั้งล่าสุดเป็นการประเมินรอบเดือนสิงหาคม 2557-สิงหาคม 2558
3. Economist intelligence Unit (EIU) : Country Risk Rating ได้ 38 คะแนนเท่าปีก่อน โดย EIU วิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ระบบเศรษฐกิจของประเทศต้องเผชิญ ได้แก่ ความโปร่งใสในการจัดสรรและการใช้จ่ายงบประมาณ การใช้ทรัพยากรของราชการ/ส่วนรวม การแต่งตั้งข้าราชการจากรัฐบาลโดยตรง มีหน่วยงานอิสระในการตรวจสอบการจัดการงบประมาณของหน่วยงานนั้นๆ มีหน่วยงานอิสระด้านยุติธรรมตรวจสอบผู้บริหาร/ผู้ใช้อำนาจ ธรรมเนียมการให้สินบน เพื่อให้ได้สัญญาสัมปทานจากหน่วยงาน ของรัฐ ทั้งนี้ EIU จะมีการสำรวจเก็บข้อมูลประมาณเดือนมกราคม-สิงหาคมของทุกปี ครั้งล่าสุดเป็นการรายงานเดือนสิงหาคม 2558
และ 4. Global Insight Country Risk Rating (GI) ได้ 42 คะแนนเท่าปีก่อน โดย GI ประเมินปัจจัยเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจที่ต้องเกี่ยวกับคอร์รัปชัน การแทรกแซงของเจ้าหน้าที่รัฐในการดำเนินธุรกิจ การให้สินบนและสิ่งตอบแทนสำหรับพิจารณาสัญญา และขอใบอนุญาต ทั้งนี้ GI ได้รายงานข้อมูลครั้งล่าสุด เมื่อเดือนสิงหาคม 2557 ดังนั้น ผลคะแนนของปี 2558 จึงอาจใช้ฐานข้อมูลดังกล่าว
ส่วนข้อมูลที่ประเทศไทยได้คะแนนลดลงกว่าปีก่อนมี 1 แหล่ง คือ World Justice Project (WJP) : Rule of Law Index ได้คะแนน 26 คะแนน ลดลงจากปีก่อน 18 คะแนน โดย WJP ประเมินค่าความโปร่งใสโดยใช้หลักนิติรัฐ ซึ่งมีหลักการสำคัญ 4 ประการ คือ 1.รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและถูกตรวจสอบได้ 2.กฎหมายต้องเปิดเผย ชัดเจน มั่นคง ปกป้องสิทธิเสรีภาพ ของประชาชน 3.กระบวนการทางกฎหมายมีความเป็นธรรม มีประสิทธิภาพ 4.การตัดสินคดีต้องมีความเป็นธรรม มีจริยธรรม มีความเป็นกลาง ซึ่งผลคะแนนที่ลดลงมากนี้ น่าจะมาจากปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง คือสภาพปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมาที่มีอิทธิพลต่อตัวชี้วัดนี้ไม่น้อย ทั้งนี้ WJP จะมีการเก็บข้อมูลทุกปี ประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม