รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมการรับรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนให้เป็นที่รู้จักในสหรัฐฯ ส่งเสริมให้อาเซียนสามารถผลักดันความเป็นหุ้นส่วนด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา และขยายความร่วมมือในประเด็นความมั่นคงรูปแบบใหม่ระหว่างอาเซียนและสหรัฐฯ และถือเป็นโอกาสดีในการสานต่อประเด็นที่นายกรัฐมนตรีได้เสนอในการประชุมสุดยอดที่ผ่านมา อาทิ การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม ความร่วมมือด้านวิชาการเป็นต้น นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังมีกำหนดการพบปะกับกลุ่มวิชาชีพคนไทยที่ประกอบวิชาชีพต่างๆ ในสหรัฐฯ และหารือร่วมกับคณะนักธุรกิจและนักลงทุนสหรัฐฯด้วย
สำหรับรูปแบบและกำหนดการประชุมฯ นั้นจะเน้นบรรยากาศที่สนิทสนมเป็นกันเองระหว่างผู้นำอาเซียนและประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยไม่ได้กำหนดระเบียบวาระการประชุมเต็มรูปแบบ เพื่อให้ผู้นำได้ใช้เวทีเสนอข้อคิดเห็นในประเด็นต่างๆ อย่างเต็มที่ในบรรยากาศเป็นกันเอง เพราะผู้นำต่างมีความคุ้นเคยและได้ร่วมหารือในหลายเวทีที่ผ่าน
ทั้งนี้การประชุมฯ ได้แบ่งออกเป็น 3 หัวข้อใน 3 ช่วง คือ วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 ช่วงบ่าย การหารืออย่างเป็นทางการ ครั้งที่ 1 (Retreat 1) หัวข้อ คือ การส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาคผ่านนวัตกรรมและประกอบการธุรกิจ (Promoting Regional Prosperity Through Innovation and Entrepreneurship) ช่วงค่ำ การหารือระหว่างอาหารค่ำ (Working Dinner) หัวข้อ คือ ทิศทางยุทธศาสตร์ของภูมิภาค (Regional Strategic Outlook)
และวันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559 ช่วงเช้า การหารืออย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 2 (Retreat 2) หัวข้อ คือ การรักษาสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงในเอเชีย-แปซิฟิก (Protecting peace, Prosperity and Security in the Asia-Pacific) ครอบคลุมประเด็นการก่อการร้าย (terrorism) และความท้าทายข้ามชาติ (transnational challenges) โดยจะมีเอกสารผลลัพธ์การประชุม ฯ ครั้งนี้ คือ หลักการซันนีแลนด์ (Sunnylands Principles)
พล.ต.วีรชน กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ย้ำหลักการต่างประเทศว่าไทยต้องเป็นสมาชิกที่มีความรับผิดชอบทั้งต่ออาเซียนและประชาคมโลก ในฐานะสมาชิกอาเซียนต้องมีบทบาทสร้างสรรค์ภายในอาเซียน ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับมิตรประเทศ โดยให้อาเซียนเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนความเติบโตอย่างยั่งยืนตามกรอบการพัฒนาของสหประชาชาติ